ต.ค. 142012
 

รางจืด สมุนไพรไทยชนิดนี้มีพูดถึงกันมาก และค่อนข้างแพร่หลาย โดยเฉพาะในเรื่องของการล้างสารพิษในร่างกาย และการล้างสารพิษจากยาฆ่าแมลงต่างๆ นับว่าน่าสนใจทีเดียวกับวิถีชีวิต (life style) ของคนสมัยนี้ ที่ต้องผจญกับมลภาวะมากมาย เรามารู้จักกับสมุนไพรไทยชนิดนี้กันดีกว่านะครับ

ชื่อและลักษณะของรางจืด

รางจืดชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Thumbergia laurifolia Lindl.

ชื่อวงศ์ : Acanthaceae

ชื่อตามแต่ละภูมิภาค : กำลังช้างเผือก ขอบชะนาง เครือเขาเขียว (ภาคกลาง) ฮางจืด (ภาคเหนือ)

ลักษณะของต้นรางจืด

เป็นไม้เถาเลื้อย เนื้อแข็ง ใบลักษณะเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปขอบขนานหรือรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลมคล้ายใบย่านาง ดอก มีสีม่วงอมฟ้า ออกเป็นช่อห้อยลงตามซอกใบ ผล เป็นฝัก กลม ปลายเป็นจะงอยเมื่อออกผลจะแตกเป็น 2 แฉก ปัจจุบันนี้นิยมปลูกไว้ในบ้าน ให้ขึ้นตามรั้วหรือทำเป็นไม้กระถาง

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย

ใบและราก  ใช้พอกบาดแผลหรือเป็นยาถอนพิษไข้ ถอนพิษอาหาร หรือพิษเบื่อเมา (อาการที่เกิดหรือดื่มเหล้ามากเกิน)

ใช้ราก ถอนพิษเบื่อเมา ถ้าให้ได้ผลดีต้องมีอายุเกิน 1 ปี ขึ้นไป ใช้ประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ นำมาฝนกับน้ำซาวข้าว จะทำให้พิษเจือจางและถอนพิษออก

ใบ ใช้ถอนพิษไข้ พิษเบื่อเมาจากการรับประทานของแสลง ใช้ใบสดประมาณ 10-15 ใบ นำมาตำให้ละเอียดคั้นน้ำซาวข้าวดื่มทุกๆ 2 ชั่วโมง

 รางจืดกับผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์      

นอกจากสรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยแล้ว ทุกวันนี้มีการวิจัยลงลึกไปกว่านั้น ในด้านสรรพคุณของรางจืด ลองมาดูนะครับว่ามีงานวิจัยสรรพคุณของรางจืดอย่างไรบ้าง

รางจืด เป็นสมุนไพรไทยที่ได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่า สามารถบรรเทาอาการท้องร่วง ท้องเสีย  ลดอาการแพ้ ผื่นคัน แก้พิษยาฆ่าแมลงในสัตว์ เช่นกรณีมีการวางยาสุนัขก็มีการเอารางจืดมาแก้พิษ แก้พิษจากสารเคมีในยากำจัดศัตรูพืช แก้พิษสารเคมีต่างๆ  พิษแอลกอฮอล์ พิษสุราเรื้อรัง พิษสะสมในร่างกาย ผมคิดเล่นๆนะครับหากตามโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆที่พนักงานต้องเผชิญสารพิษ น่าจะทำเป็นสวัสดิการ แจกสมุนไพรจากรางจืดให้พนักงานคงดีไม่น้อย (แต่การแก้ที่แหล่งกำเนิดที่ปล่อยสารเคมี ก็ยังเป็นวิธีที่ผมเห็นด้วยมากกว่า)

ปัจจุบันมีผู้นำรางจืดมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพหลากหลายเช่น ชาจากรางจืด นำสกัดต่างๆ  ใบรางจืดอบแห้ง กระทั่งทำเป็นแคปซูลเลยก็มี ลองหาดูได้ตามงาน OTOP ต่างๆน่าจะหาได้ไม่ยาก

สุดท้ายเป็นเรื่องของความเชื่อการดื่มเหล้า ว่าหากนำรางจืดมาเคี้ยวเพื่อดับฤทธิ์แอลกอฮอล์ เพื่อทำให้ดื่มได้นานขึ้น พูดง่ายคือทำให้คอแข็งว่างั้นเถอะ แต่ยังไม่เคยมีการศึกษาวิจัยมาก่อนและความเชื่ออันนี้ผมไม่ค่อยจะแนะนำเท่าไหร่ หากสนใจจะรักษาสุขภาพจริงๆ ไม่ดื่มเหล้าจะดีกว่า หรือดื่มก็พอประมาณกับสุขภาพ และเงินในกระเป๋าจะดีกว่า

ทั้งหมดนี้คือเรื่องของรางจืด สมุนไพรไทยที่นำมาฝากกัน

ต.ค. 142012
 

ขิง เป็นพืชสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่ค่อนข้างแพร่หลาย ปัจจุบันกระแสของการดูแลสุขภาพมาแรง เราจึงเห็นขิงโดยเฉพาะ ขิงผง อยู่ในอันดับต้นๆของ list ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ จะว่าไปแล้วนั้นขิงเองก็จัดเป็นพืชที่ค่อนข้างอินเตอร์ตัวหนึ่ง เพราะนอกจากไทยแล้วขิงยังเป็นพืชสมุนไพร ที่มีอยู่ในสูตรยาของแพทย์ท้องถิ่นในหลายๆประเทศ เช่นที่อินเดีย ในจีน บางภูมิภาคของญี่ปุ่น เลยไปจนถึงกรีก (ไปไกลถึงยุโรปเลย)

ก่อนที่จะรู้จักสรรพคุณเรามารู้จักขิงกันก่อนนะครับว่ามันมีลักษณะเป็นอย่างไร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : zingiber offcinale Roscoe

ชื่อโดยทั่วไป:  ขิง หรือ Ginger (ยกตัวอย่างเช่น Ginger bread = ขนมปังขิง)

วงศ์:  Zingiber

ชื่อท้องถิ่นตามแต่ละภูมิภาค  ขิงแครง ขิงเขา ขิงบ้าน ขิงป่า  ขิงดอกเดียว(ภาคกลาง) ขิงแดง ขิงแกลง(จันทบุรี) ขิงเผือก(เชียงใหม่)

ลักษณะของขิง

 ขึงนั้นปลูกง่าย และขึ้นได้ทุกภาคในประเทศไทย

ขิงลำต้นของขิง ขิงเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นใต้ดินเรียกว่า เหง้า  จะมีลักษณะคล้ายมือ   เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อน แต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว ขิงจัดเป็นพืชจำพวกเดียวกันกับข่า ขมิ้น จะเห็นได้จากสำนวนไทยที่ว่า ขิงก็รา ข่าก็แรงของมันมาคู่กันจริงๆครับ ขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง มีรสเผ็ดและกลิ่นหอม แต่ยิ่งแก่ยิ่งมีรสเผ็ดร้อน(ขิงแก่จึงเป็นที่มาของสำนวนที่ใช้เรียกคนที่มีอายุแต่ยิ่งเก่งยิ่งมากด้วยประสบการณ์) ลำต้นบนดินมีลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90 เซนติเมตร

ใบของขิง  ใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม

ดอกของขิง ดอกมีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้นซึ่งไม่มีใบที่ก้านดอก ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบๆดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด ผลมีลักษณะกลมแข็ง

ขิงนั้นนิยมนำมาปรุงเป็นอาหาร จัดเป็นเครื่องเทศชั้นดีเพื่อตัดกลิ่นคาวและเพิ่มรสชาติของอาหาร และที่สำคัญยังใช้เป็นยายาสมุนไพร ในปัจจุบันนิยมนำมาแปรรูปเป็นขิงผงบรรจุซอง ง่ายต่อการรับประทาน ตาม concept อาหารสมัยนี้คือฉีกซองเติมน้ำร้อน

สรรพคุณทางสมุนไพรไทย

ขิงตามตำราสมุนไพรไทยนั้น  มีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น และยังแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้นิ่ว บำรุงธาตุไฟ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้บิด และทำให้ร่างกายอบอุ่นในทางยานิยมใช้ขิงแก่ และในขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและมีใยอาหารมาก

สูตรยาสมุนไพรไทยจากขิง

  • แก้อาเจียน นำเหง้าสดย่างไฟให้สุก ตำผสมกับน้ำปูนใส คั้นเอาแต่น้ำดื่มหรือน้ำเหง้าสดหมกไฟ รับประทานเมื่อมีอาการเบื่ออาหาร
  • ขับลมในกระเพาะ โดยนำขิงมาทุบชงกับน้ำร้อน หรือ นำขิงมา 1 แง่ง ใช้ต้มกับน้ำ 1  ใช้ดื่ม หรือถ้าจะให้เติมน้ำตาลทรายเพื่อเพิ่มรสชาติได้
  • รักษาไข้หวัด โดยนำขิงแก่สด 7 กรัม และขิงแห้ง 2 กรัม ต้มกับน้ำตาลทรายแดง ดื่มเพื่อรักษาอาการ หรือใช้ขิงแก่ 2-3 เหง้า นำมาทุบให้ละเอียดต้มกับน้ำอาบเพื่อขับเหงื่อลดอาการไข้(อุณภูมิของร่างกาย )เนื่องจากหวัด
  • รักษาอาการไอ ขับเสมหะ โดยนำขิงสดมาคั้นน้ำให้ได้ประมาณ 1/2 ถ้วย ผสมน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ต้มกับน้ำ 2 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้ง หรือใช้ขิงสดฝนกับมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย โดยจิบบ่อยๆ
  • รักษาอาการปวดประจำเดือนในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน โดยนำขิงแห้งประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำ เพื่อดื่มบ่อยๆ
  • แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง โดยใช้ขิงแห้งบดชงกับน้ำอุ่น ดื่มวันละ 1 ครั้ง
  • รักษาแผลที่เกิดจากไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก โดยตำขิงสดให้ละเอียด นำกากมาพอกที่แผลเพื่อบรรเทาอาการอักเสบของแผล
  • รักษาอาการปวดฟัน โดยนำขิงแก่ทุบให้ละเอียดคั่วกับน้ำสารส้มจนเกรียม แล้วบดจนเป็นผง พอกบริเวณที่ปวด (แต่สุตรนี้แนะนำให้จัดการกับต้นเหตุโดยพบทันแพทย์จะดีกว่านะครับ)

นอกจากสรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของขิงแล้วนั้น ยังมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับขิง ทางเภสัชวิทยาเท่าที่วิจัยพบแล้วมีดังนี้

1. ลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล โดยการลดดูดซึมโคเลสเตอรอลจากอาหารในลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่าย

2. ป้องกันฟันผุ

3. ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด

4. บรรเทาอาการไอได้

5. ป้องกันและบำบัดอาการปวดศีรษะจากไมเกรนได้ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์มากปัจจุบันพบโรคนี้ได้มากในคนทำงาน

6. ลดการหลั่งกรดของกระเพาะอาหารเมื่อลดการหลั่งจึงช่วยบรรเทาในเรื่องโรคกระเพาะอาหาร

7. ช่วยลดความอยากของอาการติดยาเสพติดได้ ซึ่งว่าจะลองมาใช้กับอาการติด facebook ดู

8. มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ช่วยระงับการชักในสัตว์ทดลอง, เสริมฤทธิ์ของยานอนหลับ กลุ่ม BARBITURATE บรรเทาปวดลดไข้, ลดอาการเวียนศีรษะ

9. ออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย

นี่แหละครับคือทั้งหมดของ สิ่ง(พืช)เล็กๆที่เรียกว่า ขิง อ่านจบลองเดินไป 7-11 หรือร้านใกล้บ้าน หาขิงผงมาทานดูสักห่อก็ดีนะครับ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง

หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว ตู้ยาข้างบ้าน   ,ขิง สมุนไพรสารพัดประโยชน์ กองบก.ใกล้หมอ   ,สมุนไพร 200 ชนิด สมเด็จพระเทพฯ

 

 

ใบเตย สมุนไพรไทยกลิ่นหอมชื่นใจ

 ขับปัสสาวะ, บำรุงหัวใจ, พืชสมุนไพร, รักษาเบาหวาน  ปิดความเห็น บน ใบเตย สมุนไพรไทยกลิ่นหอมชื่นใจ
ต.ค. 132012
 

หากพูดถึงใบเตย ( ที่ไม่ใช่นักร้อยค่ายอาร์สยามสุดเซ็กซี่ ) ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านการทาน น้ำต้มใบเตยมาแล้วบ้าง ไม่มากก็น้อย ถ้าแบบธรรมดา คือต้มน้ำใส่ใบเตยแล้วทานเพื่อเพิ่มความหอม ถ้าแบบฮาร์ดคอร์หน่อยคือทานน้ำใบเตยกับเหล้าดองยากันบาดคอ  ด้วยกลิ่นหอมที่ชื่นใจ ใบเตยจึงเป็นพืชที่ได้รับความนิยม นอกจากกลิ่นหอมแล้วนั้นใบเตยยังคงคุณค่าความเป็นสมุนไพรไทยอีกหลายอย่าง

มารู้จักใบเตยกันก่อน

ใบเตย จริงๆก็แปลกนะครับ พืชชนิดนี้มันก็ไม่ได้ชื่อว่าใบเตยด้วยซ้ำ แต่ชื่อว่าจริงๆคือ เตย หรือ เตยหอม ซึ่งไม่ค่อยมีคนเรียก นิยมเรียกใบเตยเสียมากกว่า บางครั้งเห็นคนเรียกต้นใบเตยเลยก็มี แต่สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะส่วนของพืชที่คนนำมาใช้ประโยชน์มากที่สุด คือใบของต้นเตยนั่นเอง

  • ชื่อโดยทั่วไป  เตย , เตยหอม ,Pandanus Palm , Fragrant Pandan,Pandom wangi
  • ชื่อวิทยาศาสตร์ของเตย  Pandanus amaryllifolius? Roxb.

 

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย ของใบเตย

ตามตำราสมุนไพรไทยโบราณ ใบเตยมีสรรพคุณ บำรุงหัวใจ และช่วยลดการกระหายน้ำ กลิ่นหอมเฉพาะตัวของใบเตย เมื่อนำไปต้มน้ำจะรู้สึกชุ่มคอ และให้ความสดชื่นนอกจากนี้ยังมีการนำปคั้นน้าผสมกับขนมไทย เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม และเพิ่มสีเขียวแบบธรมมชาติไปในตัว  ส่วนรากของใบเตย (ต้นเตย)สามารถนำมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้ และจากการศึกษาพบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี เรื่องลดระดับน้ำตาลในเลือด หากสนใจลองอ่านบทความนี้เพิ่มเติมดูนะครับ  “สูตรยาสมุนไพรลดระดับน้ำตาลในเลือด

สูตรยาสมุนไพรไทยจากใบเตย

ใช้เป้นยาบำรุงหัวใจ โดยใช้ใบสดเอาแค่ประมาณ 1 กำ นำมาบดให้ละเอียด คั้นเอาน้ำ อาจต้มใส่น้ำตาล เล็กน้อยเพื่อรสชาติที่ดี โดยดื่มครั้งละ 1 แก้ว จะทำให้ร่างกายสดชื่น และสามารถบำรุงหัวใจได้

ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ  โดยใช้ใบสดพอประมาณ (อาจสัก 3-5 ใบ)หั่นเป็นท่อน แล้วนำมาต้มดื่มแทนน้ำ ประมาณ2-3 วัน หรืออาจดื่มสัปดาห์เว้นสัปดาห์ จะช่วยขับปัสสาวะและช่วยบำรุงธาตุ

ทั้งหมดนี้คือ สรรพคุณของใบเตยที่นำมาฝากกัน หากบ้านใครมี หรือระแวกบ้านมี จะนำมาลองต้มทานดูก็ไม่สิทธิ์นะครับ

 

ต.ค. 112012
 

ชะพลู คิดว่าคนที่เคยทานเมี่ยง แหนมคลุก คงรู้จักสมุนไพรไทยชนิดนี้กันดี ด้วยความหอมและรสชาติที่โดดเด่น เหมือนถูกดีไซน์มาไว้ทานกับอาหารพวกนี้โดยเฉพาะ ผมเองก็เป็นคงหนึ่งที่ชอบมาก (คิดแล้วน้ำลายไหล) แต่นอกจากรสชาติและความเข้ากันกับอาหารจำพวกเมี่ยงนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่คู่กันคือคุณค่าของชะพลู สมุนไพรไทยชนิดนี้มีดีตรงไหนบ้างเราลองมาดูกัน

ลักษณะของชะพลู

ชะพลูชื่อวิทยาศาสตร์ของชะพลู Piper sarmentosum Roxb.

ชื่อวงศ์   Piperaceae

ชื่ออื่นๆ   ปูนก,ปูลิง (ทางภาคเหนือ)  ,ช้าพลู (ภาคกลาง) ,นมวา(ภาคใต้) และผักอีเลิศ (ทางอิสาน)

จะเห็นได้ว่าชะพลูมีชื่อเฉพาะ หรือชื่อท้องถิ่นอยู่แทบทุกภาค ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชะพลู เป็นสมุนไพรไทยที่มีแพร่กระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ  ชะพลูเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นเถาไม้รวมกันอยู่เป็นกลุ่ม ลำต้นแบ่งเป็นข้อ ที่พิเศษคือตามข้อจะมีราก ไว้ช่วยลำต้นยึดเกาะ

คุณค่าทางอาหารของชะพลู

ชะพลูนอกจากทานได้อร่อยแล้วนั้นยังมีคุณค่าทางอาหารอีกเพียบ เช่นแคลเซียมที่ช่วยบำรุงระบบกระดูก วิตามินเอที่สูงมากเป็นพิเศษ จึงบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี และยังมีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด  เส้นใยที่ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย และยังมีสารครอโรฟิล*

*บางคนอาจบอกว่า ครอโรฟิลมีประโยชน์ยังไง เราไม่ใช่ต้นไม้สักหน่อย ไม่ต้องใช้สังเคราะห์แสง …จริงๆมันมีประโยชน์หลายอย่างนะครับ จากการศึกษาจะพบว่าสามารถช่วยลดการดูดซึมสารก่อมะเร็งของร่างกาย ทำให้ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลงได้ รวมถึงมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ไว้มีโอกาศจะเขียนเรื่องครอโรฟิล แบบเจาะลึกนะครับ

สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของชะพลู

ตามตำราสมุนไพรไทย บอกเอาไว้ว่าชะพลูมีสรรพคุณในการบำรุงธาตุ แก้จุกเสียด ขับลมในลำไส้ ลดความดันโลหิต และด้วยการที่ชะพลูมีรสเผ็ดร้อนจึงช่วยขับเสมหะได้เป็นอย่างดี

ข้อควรระวังในการรับประทานชะพลู

จริงๆแล้ว มันก็จากประโยชน์ของมันนั่นแหละ ก็ด้วยการที่ชะพลูมีแคลเซียมสูง หากเราทานจำนวนมาก และติดต่อกันนานนาน จะทำให้แคลเซียมสะสม กลายเป็นแคลเซียมออกซาเลท ซึ่งอาจทำให้เป็นนิ่วในไตได้ แต่หากเราทานพอดีพอดี เช่นอาทิตย์นึงทานครั้ง หรือทานบ่อย ๆแต่ทานครั้งละไม่กี่ใบ และทานร่วมกับอาหารอื่นจะทำให้เราได้ใช้แคลเซียมจากชะพลูได้อย่างเต็มที่ และไม่เป็นโทษต่อร่างกาย (ทุกอย่างต้องอยู่บนเส้นทางของความพอดี)

 

ต.ค. 102012
 

จากที่เคยเขียนเรื่อง สูตรสมุนไพรไทยบำรุงสายตา  จากผักบุ้งไปแล้วนั้น วันนี้เลยจะขอเจาะลึกถึงพืชชนิดนี้ เพราะนอกจากสรรพคุณในด้านการบำรุงสายตาแล้วผักบุ้งยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆอีกมาก แน่นอนครับ เราไม่เน้นที่ผักบุ้งจีน แต่เราเน้นที่ผักบุ้งนา หรือผักบุ้งแดง ที่พบได้ตามริมรั้วโดยทั่วไป

มารู้จักผักบุ้งกัน

ผักบุ้งชื่อโดยทั่วไป : ผักบุ้ง  , Woolly Morning-Glory  ( Morning-Glory เป็นดอกไม้ของต่างประเทศ รูปร่างเหมือนดอกผักบุ้งบ้านเราเปี๊ยบ)

ชื่ออื่นๆของผักบุ้ง : ผักทอดยอด(ตามที่อ.ภาษาไทยสอนแต่ทำไมไม่ค่อยมีคนใช้คำนี้เช่น แม่ค้าเอาผักทอดยอดกำนึง ) , ผักบุ้งแดง, ผักบุ้งไทย, ผักบุ้งนา

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Ipomoea aquatica Forsk., I.reptans (Linn.) Poir

วงศ์ของพืช : CONVOLVULACEAE

ลักษณะทั่วไป :

ผักบุ้งเป็นพืชน้ำ และเป็นพืชล้มลุก ลำต้นเลือยทอดไปตามน้ำหรือดิน ทีชื้นแฉะ

ต้น : มีเนื้ออ่อนลำต้นจะกลวงและมีปล้อง เป็นสีเขียว หรืออาจเป็นสีน้ำตาลแดง

ใบ : มีสีเขียวเข้ม เป็นรูปสามเหลี่ยมมุมแหลมคล้ายหอก เป็นไม้ใบเดี่ยวออกสลับทิศทางกันตามข้อต้น ใบยาว 4-8 เซนติเมตร

ดอก : ลักษณะ ของดอกเป็นรูประฆัง มีสีขาว หรือม่วงอ่อน ด้านโคนดอกสีจะเข้มกว่าด้านนอก ดอกบานเต็มที่ประมาณ 3-5 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปีในช่วงฤดูร้อนจะออกมากหน่อย

ประโยชน์ทางด้านสมุนไพรไทยของผักบุ้ง

ใบผักบุ้ง ผักบุ้งนั้นตามตำราสมุนไพรไทยเขาว่ามีรสเย็นจืด สรรพคุณคือถอนพิษเบื่อเมา รากมีรสจืดเฝื่อน มีสรรพคุณถอนพิษผิดสำแดง อาหารเป็นพิษ
ดอกผักบุ้ง เฉพาะดอกตูมใช้รักษาโรคผิวหนังเช่น กลากเกลื้อน  หรืออาจใช้ตำพอกรักษาโรคริดสีดวงทวาร

สารอาหารที่พบได้ในผักบุ้ง

ในผักบุ้งมีสารอาหารหลายชนิด ที่เป็นจุดเด่นของผักบุ้งเลยคือ วิตามินเอ ที่มีมากถึง 11447 IU* ซึ่งช่วยในการมองเห็น

(*IU ย่อมาจาก international unit เป็นหน่วยสากล เฉพาะวิตามินเอ หนึ่ง IU เท่ากับ  0.3 ไมโครกรัม เรตินอลหรือ 0.6 ไมโครกรัมของเบต้าแครอทีน)

นอกจากนั้นยังมี เส้นใย  ซึ่งช่วยในระบบขับถ่าย แคลเซียม บำรุงกระดูกและฟัน  ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 และวิตามินซี

รู้คุณค่าอย่างนี้แล้ว มาทานผักบุ้งกันเยอะๆนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก EN-wikipedia ,หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว ตู้ยาข้างบ้าน

ต.ค. 102012
 

หากพูดถึงผลไม้ที่เนื้อในเป็นสีเหลือง หลายคนคงบอกว่ามีเยอะ ถ้าถ้าบอกว่า พืชที่เป็นทั้งผักและผลไม้ และมีสีเหลืองหล่ะ แน่นอนคำตอบคือหัวข้อของเราในวันนี้ ฟักทองนั่นเองครับ สำหรับฟักทองนั้นเราสามารถใช้เป็นผักได้เช่นเอามาแกง อย่างนี้เขาเรียกฟังทองเป็นผัก แต่ถ้าเอามานึ่งทานทำขนม อันนี้จะกลายเป็นผลไม้ทันที แต่ไม่ว่าจะเป็นผักหรือผลไม้ ฟักทองนั้นเป้นพืชที่มีคุณค่าสูงตัวหนึ่งที่เราควรทำความรู้จัก ทั้งในแง่ของสารอาหารและในแง่ของพืช สมุนไพรไทย

มารู้จักกับฟักทองกัน

ฟักทองชื่อโดยทั่วไป  ฟักทอง , Pumpkin

ชื่อทางวิทยาศาสตร์   Cucurbita maxima Duchesne.

ชื่อวงศ์   CUCURBITACEAE

ชื่อตามภูมิภาคหรือตามท้องถิ่น

หมากอึ (ภาคอิสาน) มะฟักแก้ว (ภาคเหนือ) มะน้ำแก้ว (เลย) น้ำเต้า (ภาคใต้) หมักอื้อ (เลย-ปราจีนบุรี) หมากฟักเหลือง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) เหลืองเคล่า หมักคี้ล่า

ลักษณะของฟักทอง

ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุก(สู้ไม่ถอยอีกแล้ว)  ที่มีลำต้นเป็น เถาอาศัยเลื้อยไปตามพื้นดิน หรือหลักยึดต่างๆเช่นริมรั่ว หรือค้างที่คนทำไว้ให้  ตามเถาจะมีมือเอาไว้เกาะยึดสิ่งต่างๆ เพื่อความมั่นคงของต้น เถามีขนาดยาว ใหญ่ และมีขน ปกคลุม อยู่ มีสีเขียว

ใบ ออกใบเดี่ยว ตามลำเถา ใบของฝัก ทองเป็นแผ่นใหญ่สีเขียว แยกออกเป็น 5 หยักและมีขนสาก ๆ มือ ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งใบ

ดอก ออกดอกเดี่ยวตามง่ามใบ และที่ ส่วนยอดของเถา ลักษณะของดอกเป็นรูปกระดิ่ง หรือระฆังสีเหลือง ในดอกตัวเมียเมื่อบานเต็มที่แล้ว จะมองเห็นผลเล็กๆ เป็นกระเปาะติดอยู่ใต้ดอก

ผล มีขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นพูกลมจะมี ส่วยใหญ่เป็นทรงแบน และมีทรงสูงอยู่บ้าง เปลือกของผลจะแข็ง ผิวลักษณะขรุขระ มีทั้งสีเขียวหรือสีน้ำตาลแดงก็ตามแต่พันธ์ของฟักทอง เนื้อในผลสีเหลือง มีเมล็ดสีขาว  นึกไม่ออกนึกถึงเมล็ดฟักทองตามือ (เจ้าของบริษัทผ่านมาอ่าน ขอค่าโฆษณาด้วยนะครับ)

คุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยของฟักทอง

เนื่องจากประโยชน์ของฟักทองมีมากมายจริงๆ จึงขอแยกย่อยเป็นข้อๆและคัดมาเฉพาะส่วนสำคัญให้ได้อ่านกัน

1.ฟักทองนั้นเป็นพืชที่ให้พลังงานต่ำ อาจขัดกับความคิดของหลายๆคน แต่จากการวิจัยเทียบกับพืชชนิดอื่นถือว่าต่ให้พลังงานต่ำ มีไขมันน้อย จึงเหมาะแก่คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก (ทานฟักทองเป็นมื้อหลักช่วยควบคุมน้ำหนักได้ แต่ทานฟักทองเป็นของหวาน หลังจากทานข้าวขาหมูเสร็จ ฟักทองไม่ช่วยอะไรนะครับ) อีกทั้งฟักทองยังมีกากไยมากสามรถช่วยระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี

2.คาร์โบไฮเดรตในฟักทอง ช่วยรักษาและบรรเทาอาการ แผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้ในส่วนบนได้ด้วย คนที่เป็นโรคกระเพาะแนะนำเลยครับ ทานฟักทองนึ่งไปไม่ผิดหวัง อาการปวดท้องของท่านจะบรรเทาเบาบาง แบบไม่ต้องพึ่งแอนตาซิล (เชยเนาะสมัยนี้เขาต้อง กราวิสคอนแล้ว) แต่ถ้าเป็นมากๆแนะนำให้หาหมอนะครับ

3.จากการวิจัยพบว่า สามารถช่วยบรรเทาอาการหอบหืดที่เกิดจากหลอดลมอักเสบในผู้สูงอายุได้

4.หากรับประทานฟักทองทั้งเปลือกจะสามรถกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารที่ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย หากขาดสารตัวนี้ หรือการหลั่งอินซูลินผิดปรกติ จะทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้การรับประทานทั้งเปลือกยัง สามรถควบคุมความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพได้อีกด้วย

5.ในฟักทองมีคอลลาเจนตามธรรมชาติ จะช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส (แต่ไม่ถึงขั้นขาววิ้งนะครับ)

6.สตรีหลังคลอดบุตรหากทางฟักทอง ซึ่งตามตำราสมุนไพรไทยเขาเรียก”มีฤทธิ์อุ่น” จะช่วยย่อยอาหารทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง และลดการอักเสบ แก้ปวดได้ดีมากๆ

นี่แหละครับประโยชน์ของผลฟักทอง แต่ยัง ยังไม่หมดนอกจากผลแแล้วส่วนอื่นๆของฟักทองก็มีประโยชน์ไม่น้อย ลองมาดูกัน

  • ใบอ่อนของฟักทอง (ใบแก่ไม่พูดถึงนะครับเพราะทานลำบาก) เชื่อหรือไม่ว่าในใบอ่อนมีวิตามินซีสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง นอกจากนั้นยังมีฟอสฟอรัส สูงกว่าในเนื้อฟักทองเสียอีก
  • ดอกของฟักทอง ในดอกมีวิตามิน A แคงเซียม และฟอสฟอรัส แถมยังมีวิตามินซีด้วยเล็กน้อย
  • เมล็ดฟักทอง ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน และที่สำคัญยังมีสารที่ชื่อ คิวเคอร์บิตาซิน ( Cucurbitacin ) สารตัวนี้สามรถกำจัดพยาธิจำพวกพยาธิตัวตืดได้อีกด้วย และเมล็ดฟักทองยังมีสรรพคุณขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว และป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เป็นอย่างดี
  • น้ำมันจากเมล็ดดอกฟังทอง ช่วยบำรุงประสาทได้ดี อีกทั้งยังมีกรดอะมิโนบางชนิด ที่ป้องกันต่อมลูกหมาก ของท่านชายขยายใหญ่ขึ่น ช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากอัณฑะให้อยู่ในระดับปรกติ
  • รากฟักทอง นำมาต้มใช้ดื่มแก้ไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย
  • เยื่อที่อยู่กลางผล ก็ส่วนที่เราคว้านทิ้งเวลาเอาฟักทองมาทำอาหารนี่แหละ ซึ่งเยื่อตัวนี้สามรถนำมาพอกแผลได้ แก้อาการฟกช้ำปวดอักเสบได้อย่างดี

การนำฟักทองไปใช้

หัวข้อนี้คงไม่ขอพูดอะไรมาก แต่ขอยกตัวอย่างเมนูบางส่วนจากฟักทองก็แล้วกัน เมนูที่แนะนำคือ แกงเผ็ดเนื้อใส่ฟักทอง  แกงเลียง ฟักทองผัดไข่ ส่วนของหวานก็มี สังขยาฟักทอง (อันนี้ชอบมากเป็นการส่วนตัว) ขนมฟักทอง บวดฟักทอง ฟักทองนึ่ง ฟักทองเชื่อม และอื่นๆที่ไม่ได้กล่าว

คำแนะนำเพิ่มเติม

– การเลือกฟักทองควรเลือกพันธ์ที่มีรสหวาน เนื้อละเอียด จะมีสรรพคุณทางยามาก (เรื่องรสหวานเนื้อละเอียดถามคนขายดูได้ถ้าเขาไม่โกหก โดยส่วนใหญ่พันธ์ผสมจะเป็นที่นิยม)

– การทานฟักทองมากเกินไปจะทำให้ผิวเหลือง แน่นท้อง ผู้รู้เขาแนะนำว่าการใส่กระเทียมเจียวกับเต้าเจี๊ยวในผัดฟักทอง จะชาวยลดการแน่นท้องลงได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก กรมแพทย์ทางเลือก และหนังสือ อาณาจักรพืชผัก สมุนไพรสร้างสมอง

 

ต.ค. 092012
 

พืชที่เราบริโภคลำต้นใต้ดิน หรือเรียกกันแบบบ้านๆว่าหัว นั้นมีอยู่หลายชนิด ที่ได้รับความนิยมหน่อยก็พวก กระชาย หรือข่า ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่เราได้เคยพูดกันมาแล้ว (ตามอ่านได้) แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงพืชชนิดหนึ่งกัน ที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครตรงที่เมื่อนำหัวมาฝนจะให้สีเหลืองที่สวยงาม นึกออกแล้วใช่ไหมครับว่าผมพูดถึงอะไร สมุนไพรไทยชนิดนั้นก็คือขมิ้นชัน หรือขมิ้นนั่นเอง

 มาทำความรู้จักกับขมิ้นกัน

ขมิ้น หรือ ขมิ้นชันชื่อวิทยาศาสตร์ของขมิ้น  : Curcuma longa Linn

ชื่อในภาษาอังกฤษ  : Turmaric

ชื่ออื่นๆ   :  ขมิ้น ขมิ้นแกง  ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว หมิ้น ขมิ้นป่า ขมิ้นทอง   ขมิ้นดี  ตายอ

ลักษณะของขมิ้น  : เป็นพืชที่ไม่ท้อถอย (พืชล้มแล้วลุก)  สูงไม่มากประมาณ  30-90 ซม. เหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้องข้างในสีเหลืองเข้ม (ใช้คำว่าเหลืองอ๋อย คงจะเหมาะ)   มีกลิ่นที่หอมเฉพาะตัว ใบเป็นใบเดี่ยวแทงออกมาจากเหง้า  ดอกออกเป็นช่อ มีก้านชช่อแทงออกมาจากเหง้า แทรกขึ้นมาระหว่างก้านใบ กลีบดอกมีสีเหลืองอ่อน ผลรูปกลมมีสามพู

สรรพคุณของขมิ้นชันทางด้านสมุนไพรไทย  เหง้าขมิ้นชันมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ตามธรรมชาติ ลดการอักเสบ และยังช่วยป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย มีสรรพคุIในการขับลม บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาฝี แผลพุพอง อาการแพ้และอักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย

สรรพคุณของขมิ้นชันทางด้านโภชนาการ 

ในขมิ้นชันมีวิตามิน AEC (หรือประชาคมเศรษกิจอาเซียน ไม่ใช่แล้ว) คือเจ้า วิตามิน A,C,E ทั้งสามตัวจะเข้าสู่ร่างกายพร้อมๆกันจึงมีผลมากมาย เฉพาะในเรื่องของมะเร็งก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งตับ และกำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไปแล้ว เตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง    ส่วนในเรื่องอื่นๆที่เขาวิจัยก็มี เรื่องการช่วยลดไขมันในตับ สมานแผลในกระเพราะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ  นับว่าสรรพคุณค่อนข้างดีมากๆ

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเพิ่มเติม เช่นป้องกันการแข้งตัวของเลือด การเป็นสารต้านมะเร็งเนื้องอกต่างๆ รวมถึงยังมีการใช้เป็ยาต้านเชื้อในผู้ป่วย HIV ย้ำนะครับว่าอยู่ในขั้นการทดลอง และขมิ้นชันเองมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันซึ่งเหมาะมาก กับคนที่เป็นหวัด หรือแพ้อากาศบ่อยๆ

สูตรยาสมุนไพรไทยจากขมิ้นชัน

1.สูตรยาแก้โรคกระเพาะ แก้ท้องร่วง แก้ท้องอืด ใช้เหง้าแก่สด ยาวประมาณ 2 นิ้ว เอามาขูดเปลือกล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด เติมน้ำและคั้นแต่น้ำ รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้ง

2.สูตรยาภายนอก ทาแก้ผื่นคันโรคผิวหนัง แผลพุพอง ชันนะตุ และหนังศรีษะที่เป็นผื่น ให้ใช้เหง้าแก่แห้ง ไม่จำกัดจำนวน ป่นเป็นผงให้ละเอียด ใช้ทาตามบริเวณที่เป็นผื่นคัน โดยในเด็กใช้กันมาก

ข้อควรระวังในการใช้  เมื่อมีประโยชน์ ย่อมต้องมีสิ่งที่ต้องระวังบ้างเป็นธรรมดา ลองมาดูกันเลย

  •  การใช้ผงขมิ้นเป็นยารักษาโรคกระเพาะ ถ้าใช้ปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะได้
  • บางคนอาจมีการแพ้ขมิ้นโดยอาการคือ คลื่นไว้อาเจียน ท้องเสีย ปวดหัว นอนไม่หลับ ให้หยุดยาทันที บางคนอาจทานอาหารใต้ไม่ได้ ทานแล้วท้องเสียไม่แน่อาจเกิดจากสาเหตุการแพ้ขมิ้นในอาหารก็เป็นได้
  • ไม่ควรซื้อผวขมิ้นชันตามตลาดควรทำเอง เพราะตามตลาดเขาใช้ขมิ้นอ้อย และกรรมวิธีมักผ่านความร้อน ทำให้สูญเสียน้ำมันหอมระเหยไป

 

ต.ค. 092012
 

เมื่อตอนที่แล้วได้พูดถึงกะหล่ำปลีธรรมดา หรือกะหล่ำปลีสีเขียวไป  เพื่อไม่ให้พืชอีกพันธ์ที่คล้ายกันต้องน้อยใจ ผมเลยต้องขอพูดถึงกระหล่ำปลีม่วงบ้าง เพราะนอกจากสีที่ต่างกันแล้ว ยังมีรายละเอียดในด้านคุณค่าบางส่วนที่แตกต่างกัน จะขอพูดถึงสรรพคุณด้านสมุนไพรไทย แยกย่อยเป็นข้อๆดังนี้

คุณค่าของกะหล่ำปลีม่วง

กะหล่ำม่วง หรือกระหล่ำปลีม่วง1. กะหล่ำปลีม่วงจะอุดมไปด้วยสาร อินไทบิน(intybin) ทีมีส่วนสำคัญมากในระบบเผาผลาญอาหารของคนเรา เพราะช่วยกระตุ้นเลือดไปหล่อเลี้ยงตับ ถุงน้ำดี และกระเพาะอาหารที่ดีขึ้น  เมื่อเลือดไปเลี้ยงดีแล้วระบบพวกนี้จึงมีความสมบูรณ์

2. กะหล่ำปลีม่วงจะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก จึงช่วยเสริม ฮีโมโกลบิน ที่เป็นสารที่ทำหน้าที่จับและพาออกซิเจนไปกับเม็ดเลือดแดงเพื่อไปเลื้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย หากเราขาดสารนี้จะทำให้เป็นโรคโลหิตจาง ซึ่งสารฮีโมโกลบินนี้นอกจากพบในพืชแล้วยังพบในพวกเครื่องในสัตว์เช่นตับสัตว์ แต่ตับสัตว์มีคอเรสเตอรอลค่อนข้างสูง กะหล่ำปลีม่วง จึงป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

3. กะหล่ำปลีม่วงมีสาร เอส มีไทล์เมทิโอนีน (S-methylmethionine) หรือที่เรียกกันคือวิตามินยู ชื่อไม่คุ้นเลยว่าไหมครับ แต่ทางการแพทย์มีการใช้ สารเอส มีไทล์เมทิโอนีน หรือวิตามินยู ในการช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารและช่วยบรรเทาอาการปวดท้องที่มีสาเหตุจากแผลในกระเพาะและช่วยให้การหลั่งของน้ำย่อยเป็นปกติ  นอกจากนั้นสารเอส มีไทล์เมทิโอนีน หรือวิตามินยู ยังช่วยต้านมะเร็งคือสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้ได้ แถมยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญของฮอร์โมนเอสโทรเจนในร่างกาย

4.สามารถใช้ประคบเต้าคม เพื่อบรรเทาอาการปวดตีงคัดเต้านมเช่นเดียวกับกะหล่ำปลีเขียว

5.ในกะหล่ำปลีม่วง มีวิตามินซีสูงกว่า กะหล่ำปปลีสีเขียวถึงสองเท่า (เรียกว่าเกทับกันเห็นๆ) คุณค่าของวิตามินซีเราคงไม่ขอพูดถึงมากเพราะพูดกันในหลายๆบทความแล้ว

6.กะหล่ำปลีม่วงจะช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลได้ และนอกจากกนี้ยังมีสารซัลเฟอร์ในการช่วยระบบประสาทให้นอนหลับดี โดยอาศัยกลไกเดียวกับกะหล่ำปลีเขียว

 

การบริโภคกะหล่ำปลีม่วง

สำหรับการบริโภคกะหล่ำปลีม่วงจะต่างกับกะหล่ำปลีเขียวหน่อยตรงที่ว่า กะหล่ำปลีม่วงนิยมทานสดมากกว่า เช่นสลัดก็มีการหันฝอยเพื่อเพิ่มสีสัน ข้อแนะนำอย่างหนึ่งคือ การนำมากะหล่ำปลีม่วงมาประกอบอาหารระวังอย่าให้ผ่านความร้อนนาน เพราะจะทำให้สูญเสียคุณค่าวิตามิน

 

ข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานกะหล่ำปลีดิบครั้งละมากๆ เพราะมันมีสาร Goitrogen ซึ่งจะขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ต่อทไทรอยด์นำไอโอดีนที่อยู่ในเลือดไปใช้ได้น้อย ทำให้เกิดภาวะขาดไอโอดีน ฉะนัน้ทานอะไรก็ควรทานแต่พอดี สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกับพืชอื่นๆบ้างจะช่วยให้ได้คุณค่าอย่างครบถ้วน

ต.ค. 082012
 

วันนี้เพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง คราวนี้ขอพูดถึงเรื่องผักบ้าง แถมเป็นผักที่พบเห็นได้ง่ายๆ ชนิดว่าคงไม่มีใครไม่เคยทาน เอาง่ายๆเดินไปซื้อลูกชิ้น เชื่อไหม 6ใน10 ร้านต้องมีผักชนิดนี้แถมให้ (ไม่ได้วิจัยจริงๆจังๆนะครับแค่จากประสบการณ์ บางทีอาจมี แตงกวา บ้างก็ว่ากันไป)นั่นก็คือกะหล่ำปลีนั่นเอง เขียนให้ถูกนะครับ”กะหล่ำปลี” ไม่ใช่ “กะหล่ำปี ” กะหล่ำที่พบตามท้องตลาด โดยส่วนใหญ่จะมีอยู่สองสี คือแดงกับเหลือง เอ๊ยเขียวกับม่วงในบทความนี้จะเน้นที่กะหล่ำปลีธรรมดา หรือกะหล่ำปลีสีเขียวก่อน ไว้มีโอกาศจะเล่าถึงกะหล่ำปลีสีม่วง หรือกะหล่ำปลีม่วงถ้าโอกาศเอื้ออำนวย

คุณค่าของกะหล่ำปลี 

กะหล่ำปลี ลักษณะใบของกะหล่ำปลี หรือที่คนชอบเรียก ดอกกะหล่ำนอกจากนำมากินเป็นผักสด หรือประกอบอาหารแล้ว ในคุณค่าความเป็นสมุนไพรไทยของมันยังมีอีกเพียบ ขอแยกเป็นข้อๆปล้องๆดังนี้

1.มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีงานวิจัยออกมาว่า กะหล่ำปลีสีเขียว จะสามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ในผู้ชายได้สูงถึงร้อยละหกสิบหก ( 66 เปอร์เซ็นต์)อีกด้วย และนอกจากนี้วิตามินซียังสามรถป้องกันโรค เลือดออกตามไรฟัน ช่วยย่อยอาหารและล้างสารพิษ

2.มีใยอาหารหรือไฟเบอร์สูง จะช่วยกระตุ้นระบบการย่อยอาหาร กระตุ้นลำไส้ใหญ่ ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี

3.มีกรดทาร์ทาริก *ช่วยยับยั้งไม่ให้แป้งและน้ำตาลจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เปลี่ยนกลายเป็นไขมันส่วนเกิน สะสมอยู่ตามร่างกาย จึงเหมาะมากๆกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

*เพิ่มเติมข้อมุลนิดนึงนะครับ กรดตาร์ตาริก (tartaric acid) คือ กรดอินทรีย์ (organic acid) พบตามธรรมชาติในผักผลไม้ และเป็นกรดที่พบในไวน์  มีสูตรทางเคมีคือ  C4H6O6  อยู่ในรูป L-Tartaric acid อาจเรียกว่า L-2-3-Dihydroxysuecinic acid หรือ L-2,3-Dihydroxybutanedioic (ข้อมูลจากจากสารานุกรมอาหาร)

4.อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่ทีส่วนสำคัญในเรื่องของการสร้างกระดูกและฟัน ซึ่งยิ่งแก่ตัวไป หรือเด็กๆ ยิ่งจำเป็นมากๆ

5.กะหล่ำมีสารซัลเฟอร์ สารตัวนี้จะช่วยระงับประสาท ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย จึงทำให้นอนหลับดีขึ้นนั่นเอง

6.กะหล่ำปลีมีสารต้านการอักเสบ ของแผลในกระเพาะ และลำไส้ ช่วยกระตุ้นให้เซซล์ที่ทำหน้าที่บุเยื่อกระเพาะสร้างสารคัดหลั่งเพื่อช่วยเคลือบผิวทางเดินอาหาร จึงป้องกันโรคกระเพาะและลำไส้ได้ ไม่แปลกเลยที่ส้มตำเผ็ดๆ หรืออาหารที่มีรสเผ็ดคนโบราณจึงให้นิยมทานกับกะหล่ำ

7.สำหรับสาวๆกะหล่ำปลี สามารถบรรเทาอาการปวดคัดตึงเต้านมได้อีกด้วย โดยใช้กะหล่ำปลีมาประคบเต้านมข้างละใบ (คิดว่าคงพอเพียงกับขนาดหญิงไทยมาตรฐาน) และใช้ผ้าพันไว้ 20 โดยไม่ต้องนวดคลึงอาคารปวดบวมคัดตึงจะหายไปเอง

การนำไปใช้

จริงๆในหัวข้อนี้ผมคงไม่ต้องลงรายละเอียดมากเพราะกะหล่ำเองนำไปบริโภคได้ทุกส่วนอยู่แล้ว ตั้งแต่ใบ กาบใบ สามรถเอามาทำอาหารหลายชนิด ขอยกตัวอย่างเช่น กะหลำปลีผัดกับหมู ต้มจืด บะช่อหมูสับ กะหล่ำยัดไส้ (น้ำยายไหล) หรือถ้าไม่ประกอบอาหารจะทานสดๆก็ไม่พรบ.หรือรัฐธรรมนูญมาตราใด เช่นนำมากินแกล้มกับลาบ ส้มตำ ลูกชิ้นปิ้งได้หมด หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริก ทานกับปลานึ่งอันนี้ก็แจ๋ว

ข้อควรระวังในการใช้กะหล่ำปลี

เวลาที่เราซื้อกะหล่ำมาจากตลาด แน่นอนผักออแกนิค(ปลอดสารพิษ) มันไม่ได้ขายกันทุกตลาดฉะนั้นทางที่ดีที่สุด ล้างให้สะอาดก่อนเพราะลักษณะของกะหล่ำปลีอาจจะทำให้เก็บยาฆ่าแมลงไว้ได้มาก อาจใช้น้ำผสมเกลือหรือน้ำช้มสายชูล้าง จะทำให้ชำระล้างสารพิษได้มาก

ทานกะหล่ำปลีให้อร่อยนะครับทานเผื่อผมด้วย ไว้คราวหลังจะนำเรื่องพืชผักสมุนไพรไทยดีๆมาฝากอีก

ขอบคุณหนังสืออาณาจักรพืชผัก สมุนไพรสร้างสมอง สำหรับข้อมูล

 

 

ต.ค. 082012
 

อาการปวดฟันนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกทรมานมาก ใตรที่เคยปวดย่อมรู้ดี เว็บสมุนไพรไทยเองขอแนะนำสมุนไพรไทย ชนิดหนึ่ง ที่จะสามารถช่วยบรรเทาเบาบาง อาการปวดฟันได้ (ก่อนที่จะไปหาหมอฟันเพื่อจัดการกับต้นเหตุต่อไป ) สมุนไพรที่เราจะมาแนะนำในวันนี้คือ กานพลู

มารู้จักกับกานพลูกันก่อน

กานพลู รูปดอกกานพลู สมุนไพรไทย ที่สามารถระงับอาการปวดฟันได้ชื่อโดยทั่วไป : กานพลู หรือ clove tree

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ :SyZagium aromaticum

ชื่ออื่นๆ :  จันจี่ ดอกจัทร์

ลักษณะ โดยทั่วไปของกานพลู

ลำต้น เป้นไม้ยืนต้น ทรงพุม มีกิ่งก้านสาขามาก สูง 9-20 เมตร ลำต้นตั้งตรง

ใบ   มีใบเดียว เรียงตรงข้าม แตกกิ่งก้านสาขา ผิวมัน

ดอกและผล    ช่อดอกออกที่ซอกใบ หรือปลายกิ่ง ดอกกานพลูมีน้ำมัน ซึ่งมีกลิ่นหอมและรสค่อนข้างเผ็ดร้อน เมื่อมีผลจะออกเป็นรูปกรวยยาว

สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของกานพลู

ดอกกลานพลู  นอกจากเรื่องของบรรเทาอาการปวดฟันดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วนั้น กานพลูเองยังมีสรรพคุณอื่นๆอีกมาก  โดยเฉพาะส่วนที่เป็นดอกของกานพลู หากยังไม่ได้สกัดเอาน้ำมันออกจะมีกลิ่นหอมจัด มีน้ำมันหอมระเหยมาก มีรสเผ็ด สรรพคุณคือ แก้รำมะนาด และยังสามารถแก้ปัญหากลิ่นปากได้อย่างชะงัด  ใครดื่มสุรามาสามรถใช้ดับกลิ่นได้ (ป้องกันคุณแม่บ้านจับได้เป้นอย่างดี  แต่ทั้งนี้ขึ้นกับความเนียนของแต่ละคนด้วย ) และสำคัญที่สุดคือ บรรเทาอาการปวดฟัน    เรียกได้ว่าสรรพคุณในด้านเหงือกและฟันค่อนค้างครบวงจรเลยทีเดียว  นอกจากนั้นด้านอื่นยังมีในเรื่องของ  บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด และขัมลม แก้ไอ แก้โรคเหน็บชา ขับเสมหะได้ สามรถแก้ท้องเสียในเด็ก

ผลกานพลู  ผลการพลู  ใช้เป็นเครื่องเทศได้เป้นอย่างดี ช่วยเพิ่มความหอมให้กับอาหารได้

น้ำมันหอมระเหยจากการพลู หากสะกัดเอาน้ำมันหอมระเหยออกมา เฉพาะตัวน้ำมันหอมระเหย จะมีสรรพคุณ ในการเป็นยาชาเฉพาะที่ แก้ปวดฟัน ฆ่าเชื้อทางทันตกรรมได้ เป็นยาระงับการชักกระตุก ทำให้ผิวหนังชา ใช้ป็นยาขับลม และ แก้ปวดท้อง

สูตรยาสมุนไพรไทยจากกานพลู 

ได้อ่านสรรพคุณกันไปแล้ว ก็มาถึงวิธีการทำยาจากกานพลูกันบ้างว่ามีวิธีการทำอย่างไร

 สูตรยาช่วยระงับอาการปวดฟัน  ใช้ไม้พันสำลี หรือ คัตเติลบัต ชุบน้ำมันกานพลูนำไปหยด 4 -5 หยด ในรูฟันที่ปวด หรือใช้ชุบสำลี เคียวไว้ในปากบริเวณที่ปวด

สูตรยากำจัดกลิ่นปาก ให้อมดอกกานพลูไว้ 2-3 ดอกสัก 1-2 นาที แล้วบ้วนทิ้ง

สูตรยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลม  สำหรับผู้ใหญ่ใช้ดอกกานพลู 5-8 ดอก นำมาต้มหรือบดให้เป็นผงรับประทาน ในกรณีที่เป็นเด็ก ใช้ดอกกานพลู 3 ดอก ทุบให้แตกแช่ในน้ำเดือด ชงนมผสมประมาณ 750 cc ให้เด็กดื่ม

ทั้งหมดนี้เป็นสุตรยาสมุนไพรไทยจากการพลู ลองเอาไปทำดูได้นะครับ สุดท้ายยังไม่หมด เรามีสูตรชาสมุนไพรจากดอกกานพลูมาฝากทุกท่านครับ

เมนูน้ำสมุนไพร ชากานพลู

ส่วนผสม

  • ดอกกานพลู                             4-5    ก้าน
  • น้ำผึ้งหรือน้ำตาลกรวด              1   ช้อนชา

วิธีการทำ

1. ใส่กานหลูในถ้วยชา ใส่น้ำร้อนเกือยเต้มทิ้งไว้ 5 นาที

2. ใส่น้ำผึ้งหรือน้ำตาลกรดลงไปคนเข้ากัน

ควรดื่มอุ่นๆ จะช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยย่อย ได้เป็นอย่างดี

ต.ค. 072012
 

ยอ ในที่นี้ไม่ได้ถึงการยกย่อง ชมเชย หรือแม้กระทั่งประจบประแจง แต่อย่างใด แต่มันเป็นชื่อสมุนไพรไทยชนิดหนึ่ง พูดชื่อคงนึกออกนะครับว่าหมายถึงอะไร

วันนี้เรามารู้จักกับยอกันดีกว่าครับ

ชื่อโดยทั่วไป : Great Morinda,Indian Mulberry

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Molinda Critiforia Linn

ชื่ออื่นอื่นของยอ :ยอบ้าน (ภาคกลาง) มะตาเสือ (ภาคเหนือ) แยใหญ่ (กะเหรี่ยง-ทางแม่ฮ่องสอน)

มารู้จักลักษณะของยอกัน

ยอ ลักษณะผลของยอ หรือลูกยอลำต้น ยอเป็นไม้ยืนต้น แต่ค่อนข้างมีขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรงสูงประมาณ 3-8 เมตร (จริงๆก็ไม่เล็กมากแต่นี่เทียบกับต้นไม้อื่นๆ)

ใบ  ไม่ผลัดใบ ใบใหญ่หนาสีเขียวสด มีดอกเป็นช่อสีขาว

ผลยาวรี มีตาเป็นปุ่มโดยรอบผล ลูกอ่อนสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีขาวนวลเมื่อสุก มีกลิ่นฉุนมาก

สรรพคุณทางสมุนไพรไทยของยอ

ผลดิบ ใช้ขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับโลหิต ระดูของสตรี ฟอกเลือด แก้คลื่นไส้อาเจียน รวมทั้งของหญิงมีครรภ์ ผสมยาแก้สะอ๊ก อมแก้เหงือกเปื่อย แก้เสียงแหบแห้ง และแก้ร้อนใน

ผลสุก  ช่วยขับลมในลำไส้

ราก  ใช้เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก

ใบ  มีวิตามินเอ ใช้บำรุงสายตา หัวใจ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ คั้นน้ำทาแก้เกาต์ แก้ท้องร่วงในเด็ด แก้เหงือกบวม คั้นน้ำทาแก้แผลเรื้อรัง หรือผสมยาอื่นแก้วัณโรค

สูตรยาเด็ดๆจากยอ  พอมารู้จักยอกันแล้วผมเองมีสูตรเด็ดจากยอมาฝากกันครับ

สูตรที่ 1  แก้คลื่นไส้อาเจียน ใช้ลูกยอดิบเผาหรือปิ้งโดยใช้ไฟอ่อน เผาผิวนอกให้ดำเป็นถ่าน ข้างในให้เหลือง ถ้าเผาไม่ถึงที่ยาจะมีรสขม ให้หั่นลูกยอเป็นแว่นบางๆคั่วทั้งสดๆ โดยใช้ไฟอ่อนคั่วจนเหลืองจากนั้นนำมาชงน้ำร้อน กินเป็นชาหรือต้มก็ได้

สูตรที่ 2 แก้คลื่อนไส้อาเจียน (เป็นอีกหนึ่งสูตรสำหรับคนที่ไม่ถนัดปิ้งหรือย่าง)  ต้มให้เดือดนาน 2-3 นาที ถ้าชงน้ำร้อนใช้ยอหนึ่งลูกต่อน้ำหนึ่งแก้ว แล้วชงทิ้งไว้สัก 5 นาที ควรเติมเกลือลงไปพอให้มีรสเค็มปะแล่มเพื่อชดเชย เกลือแร่ที่เสียไปจากการอาเจียน หรือจะใช้ยาหอมผสมลงไปด้วยจะยิ่งดีใหญ่ เพื่อเป็นการเสริมฤทธิ์จะช่วยให้หายอาเจียนเร็วขึ้น  ข้อแนะนำ ควรกินน้ำยอขณะที่ยังร้อนหรืออุ่นอยู่

สูตรที่ 3 ยาแก้ท้องผูก  นำรนากยอที่โตขนานนิ้วชี้ ยาวประมาณ 6 นิ้ว สับเป็นชิ้นๆ ใส่น้ำ 2 แก้ว ต้ม 10-15 นาที กิน 1 แก้วก่อนเข้านอน ตอนเช้าท้องไส้จะระบายดี เหมาะกับคนเป็นโรคท้องผูกและริดสีดวงทวาร

สูตรที่ 4  ยาลดไข้  ใช้เปลือกยอต้ม 10-15 นาที  กินวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้ว จะทำให้ไข้ลดลง

เป็นงครับกับ 4 สูตรเด็ดที่นำมาฝาก ขอแถมท้ายด้วยเมนูสมุนไพรสุตรฮิต นั่นก็คือ

เมนูน้ำสมุนไพรลูกยอ

ส่วนประกอบที่ใช้  

  • ลูกยอสุกผลใหญ่                   1-2         ผล
  • น้ำสะอาด                             1 1/2      ถ้วย
  • ใช้น้ำผึ้ง                               1/2         ถ้วย
  • น้ำตาลทราย                          1/4       ถ้วย
  • เกลือป่น                               1/2       ช้อนชา

 

วิธีทำง่ายมากครับ

 น้ำลูกยอ เป็นน้ำสมุนไพรที่บำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี1.  นำลูกยอสุกมาล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำสะอาดให้เปื่อยจนเม็ดหลุดออก

2. กรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำตั้งไฟ

3.เติมน้ำตาล น้ำผึ้ง และเกลือป่นคนให้เข้ากัน

4.เสร็จแล้วครับ จะทานร้อนๆ หรือทิ้งไว้เย็นเติมน้ำแข็งก็ได้เหมือนกัน

 

วีดีโอเรื่อง รวมสมุนไพรไทยต้านมะเร็ง

 วีดีโอเกี่ยวกับสมุนไพร  ปิดความเห็น บน วีดีโอเรื่อง รวมสมุนไพรไทยต้านมะเร็ง
ต.ค. 062012
 
วีดีโอเกี่ยวกับสมุนไพรไทย

วันนี้ทางเว็บไทยสมุนไพรดอทเนทของเราได้ไปเจอ กับเทปรายการ คนสู้โรค ของไทย PBS เข้าโดยบังเอิญ  เห็นเนื้อหารายการน่าสนใจมากจึงนำมาฝากกัน เผื่อใครที่ยังไม่ได้ดู

เนื้อหาในตอนนี้พูดถึง สมุนไพรไทยที่ใช้รักษา หรือต้านโรคมะเร็ง ซึ่งทางรายการได้เดินทางไปถ่ายทำที่สวนพรอุดม ในสัตตาหีบ เพื่อศึกษาสมุนไพรชนิดต่างๆ โดยที่ อ.อุดม ลดหวั่น ซึ่งเป็นเจ้าของสวนนี้ ได้แนะนำถึง การแปรรูปสมุนไพร เป็นอาหาร หรือเป็นยาชนิดต่างๆ โดนไฮไลท์จะอยู่ที่การให้ความรู้ในเรื่อง สมุนไพรไทย ต้าน และ รักษาโรคมะเร็ง จะมีสมุนไพรไทยชนิดใดบ้างลองชมกันดูได้ที่คลิปนี้ครับ

รายการนี้ออกอากศในวันพุธที่ 26 กันยายน 2555 เวลา 07.30 – 08.00 น. ทางช่องไทยพีบีเอส ทางเว็บของเราขอขอบคุณ THAIPBS มา ณ ที่นี้ ที่ผลิตรายการดีๆให้เราได้ดูกัน

บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ

 พืชสมุนไพร, รักษาเบาหวาน, ลดไขมันในเลือด  ปิดความเห็น บน บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
ต.ค. 052012
 

บุกมาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะยังไงนี่ เรากำลังดูหนังสงครามอยู่เหรอ เปล่าครับ บุกในที่นี้ไม่ได้ถึงข้าศึกบุก แต่หมายถึงหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านเรา ต่างหาก และที่ต้องหนี ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นโรคฮอตฮิตในปัจจุบันอย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน ต่างหากที่ต้องหนีไป

บุก ส่วนที่เห็นคือ หัวบุก ทีแรกเรื่องของบุกในเมืองไทย มันก็ไม่ได้แพร่หลายหรือเป็นที่ได้รับความนิยมเหมือนทุกวันนี้เพราะจริงๆ ทีแรกมันก็เป็นพืชพื้นบ้านอยู่ดี  คนในท้องถิ่นก็นำบุกมาประกอบอาหาร เหมือนเผือก เหมือนมันทั่วไป     พอเริ่มมีคนมาวิจัย   สรรพคุณต่างๆของมัน เลยกลายเป็นพืชสมุนไพรไทยยอดนิยม มีการแปรรูปเป็นรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก และอื่นๆอีกมาก วันนี้เองก็คงจะไม่ช้าเกินไปที่จะนำทุกท่านมารู้จัก พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบถึงกึ๋น

 

มารู้จักบุกกัน  

ชื่อไทย   บุก 

ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นปิศาจ  น่ากลัวนะครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากลักษณะของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum

ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac

ชื่อวงศ์    ARACEAE

ชื่อตามท้องถิ่น  :  บุกคุงคก (ชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (ปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)

 

เราพบบุกได้ที่ไหน

บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่พบทั่วไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นอยู่ตาม ชายป่า และบางทีก็พบตามพื้นที่ ทำนา เช่นที่ปทุมธานี และนนทบุรี เป็นต้น บุกขึ้นได้ในสภาพดินทุกชนิด แต่จะเจริญเติบโตได้ดีให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินร่วนซุย น้ำไม่ขังและดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง

 

ลักษณะของต้นบุก

ลักษณะของต้น บุก แสดงให้เห็นส่วนประกอบคือใบบุก และหัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่เราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  แบบเดียวกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่ประมาณ 25 เซนติเมตร (บางพันธ์อาจเล็กกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แต่บางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมอาหารของบุก

 ใบ  ลักษณะเหมือนใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางชนิดมีก้านใย เป็นลวดลาย    บางชนิดมีหนามอ่อนๆ  หรือบางทีบุกบางชนิดก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวด้านบน  จะเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่หลากหลายมาก  แต่ที่เด่นๆสังเกตง่ายว่าเป็บุกคือ จะมีก้านตรงจากกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีรูปทรงแผ่กว้างแบบร่ม แต่บาง พันธุ์จะแปลกตรงที่กลับขึ้นด้านบนเหมือนหงายร่ม ดังนั้นลักษณะของใบบุก มีหลายรูปแบบขึ้นกับชนิดของบุก

ดอกของบุก     ลักษณะดอกดอกคล้ายต้นหน้าวัว แต่ละชนิดมีขนาด สี และรูป ทรงต่างกัน บางชนิดมีดอกใหญ่มาก โดยเฉพาะบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นเหมือนเนื้อสัตว์เน่า บุกชนิดอื่นๆ มีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกลางหัวบุก เช่นเดียวกับก้านใบ บุกมักจะมีดอกในช่วงปลายฤดูแล้ง แต่บุกสามารถออกดอกได้ในช่วง เวลาต่างๆ กัน ระยะเวลาในการแก่เต็มที่ ของดอกที่จะติดผลก็ต่างกัน

 ผลบุก (อย่าสับสนกับหัวบุกนะ ) หลังจากดอก ผสมพันธุ์ก็จะเกิดผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พออายุ ได้ 1-2 เดือน จะมีผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายคล้ายผลกล้วย ผล ของบุกส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน แต่เมล็ดภายในแตกต่างกัน พบว่าส่วนมากมีเมล็ดเป็นรูปทรงอูมยาว  บุกบางชนิดก็มีเมล็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม

 

 

บุกกับการนำมาประกอบอาหาร

เป็นพืชอาหารพื้นบ้านซึ่งคนไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ส่วนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงตามแต่ละภูมิภาค เช่นทางภาคอีสาน มีการทำขนมที่เรียกว่าขนมบุก แกงบวชมันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วนำมานึ่งกินกับข้าว ทางภาคเหนือโดยเฉพาะชาวเขา มักนำมา ปิ้งรับประทาน ภาคกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆ มาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆ ครั้งแล้วจึงนำไปทำเป็นอาหารหวาน

*บุกมีหลายชนิดหลายพันธุ์ อาจขมและมีพิษ ทุกชนิดมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ทั้งที่ก้านใบและหัว ซึ่งอาจทำให้คัน ก่อนนำมาปรุงอาหารต้องต้มเสียก่อน ไม่งั้นกินเข้าไปทำให้คันปากและลิ้นพอง

อาหารที่แปรรูปมาจากบุก

ปัจจุบันมีการนำบุกมาแปรรูป ทั้งในลักษณะของเส้นบุก ซึ่งคือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากส่วนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารจานอร่อยได้ ผมว่าใครเคยไปกินเนื้อย่างคงเคยเจอบ้าง   นอกจากเส้นบุกแล้วมีการนำมาผสมเครื่องดื่มต่างๆ เอาแบบฮิตๆสมัยก่อน คือ เจเล่ ผสมผงบุก ถ้าจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (เจ้าของบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าโฆษณาด้วยนะครับ)
สรรพคุณของบุก

จากการศึกษาพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูโคแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 2 ชนิด คือ ดี-กลูโคส (D-glucose) และ (D-mannose) เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ร่างกายย่อยสลายได้ยาก ดูดซึมได้ช้า จึงให้พลังงานและสารอาหารน้อย เหลือกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี ผู้ที่ต้องการลดความอ้วนนิยมกินอาหารจากแป้งบุก เช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก เพราะกินอิ่มได้ ระบายท้อง แต่ไม่ทำให้อ้วน

นอกจากนี้เองเจ้า สารกลูโคแมนแนนนี้ สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ ก็เนื่องจากความเหนี่ยว ซึ่งยับยั้งการดูดซึมของกลูโคลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมาก็ยิ่งมีผลลดการดูดซึมกลูโคลส ดังนั้น กลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำตาลได้ดีมาก ปัจจุบันจึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง

นี่แหละครับคือประโยชน์จากบุก ลองหามาทานกันนะครับ มีประโยชน์ขนาดนี้ สมัยนี้ไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว แนะนำมามายำแบบยำวุ้นเส้นนะครับ รับรองอร่อยแท้ๆ

 

 

ต.ค. 042012
 

ครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องตะไคร้กัน พอพูดถึงตะไคร้ แล้วคุณนึกถึงอะไร  บางคนอาจนึกถึง ยำปลาทูใส่ตะไคร้ พูดแล้วน้ำลายไหล บางคนอาจจะนึกไปไก ลถึงเรื่องเล่าที่ว่าที่ว่า

ตะไคร้ หรืือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า lemon grass

หากไม่ต้องการให้ฝนตก ให้เอาตะไคร้ มาปักกลับหัว !  ขำขำนะครับ ประเด็นนี้ ถ้ามันจะตกจริงผมว่า เอาตะไคร้มาทั้งกอก็เอาไม่อยู่   แต่ไม่ว่าคุณจะนึกถึงอะไร ไม่สำคัญ ตะไคร้ ก็ย่อมเป็นตะไคร้อยู่วันยังค่ำ มีคุณค่าในตัวของมันเอง
ซึ่งนอกจากการ ประกอบอาหาร ตะไคร้เอง ก็มีสรรพคุณในด้านการเป็น ” สมุนไพรไทย ” อยู่มากทีเดียว จากการหาข้อมูล ใครจะเชื่อว่าตะไคร้ จะถูกเอาไปทำเป็น สมุนไพรได้ถึง 5 สูตร น่าสนใจใช่ไหมล่ะครับ ก่อนที่เราจะพูดถึงสูตรเด็ดทั้งห้านั้น ตอนนี้เรามารู้จักกับ ตะไคร้ กันก่อน

 

ชื่อสามัญ   LEMON GRASS (LEMON = มะนาว  ,GRASS =หญ้า รวมกันเป็นหญ้ามะนาว เออฝรั่งเข้าใจตังชื่อดีนะครับ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ ของตะไคร้    Cymbopogon citratus Stapf

ชื่อวงศ์                                   Graminease

ชื่อแตละท้องถิ่น                    จะไคร (ทางภาคเหนือ)  ไคร (ภาคใต้)

ลักษณะของพืช เป็นพืชล้มลุก (ขนาดพืชยังล้มแล้วลุก ทำไมคนเราล้มแล้วจึงไม่ลุก) อยู่รวมกันเป็นกอ มีข้อและปล้องสั้น ค่อนข้างเข็ง ลำต้นส่วนที่อ่อนจะมีใบเรียงซ้อนกันหลาชั้น ใบมีกาบใบเป็นแผ่นยาวโอบซ้อนกันจนแข็งจนคล้ายลำต้น ตัวใบเรียวยาว แหลม กว้างประมาณ 1-2 ซม.ยาวเต็มที่ได้ถึง 80 ซม. เนื้อใบหยาบมีขนอยู่ทั่วไป ขอบใบค่อนข้างคม เวลาจับใช้คามระมัดระวังด้วยนะครับ ผมเคยโดนบาดมาแล้ว  อ้ออีกอย่างตะไคร้มีดอกด้วยนะครับเวลาออกดอกเป็นช่อยาวมาก ซึ่งประกอบด้วยช่อย่อยที่มีดอกขนาดเล็กๆเป็นจำนนมาก มีขนที่ก้านดอก

เอาล่ะครับเมื่อรู้จักตระไคร้กันแล้ว เรามารู้จักสูตรเด็ด สมุนไพรไทยจากตะไคร้กันบ้าง

สุตรที่ 1 ใช้ตระไคร้เป็นสมุนไพรไทย แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ  ท้องอืด ท้องเฟ้อใครไม่เคยเป็นยกมือขึ้น ไม่มีใครยกแสดงว่าเตยเป็นกันทุกคน แน่นอนครับอาการนี้ ไม่ว่าจะสาเหตุทานมากไป หรืออาหารไม่ยอมย่อย ก็ย่อมสร้างความอึดอัดแก่เราได้  บางคนอาจจะบอกว่าสมัยนี้ยามีเยอะแยะ เดินไปซื้ออีโนก็จบแล้ว อันนั้นผมไม่เถียง แต่ถ้าเรามีเลือกอื่น ที่เป็นทางเลือกจากธรรมชาติมากกว่าการใช้สารเคมี เราจะไม่ลองดูบ้างหรือ

น้ำตะไคร้ ใช้เป็นยาสมุนไพรไทยรักษา อาการท้องอืด ท้องเฟ้อวีธีใช้สมุนไพร   แค่คุณเอาตะไคร้มาทุบแหลกๆ ใช้ประมาณ  1 กำมือ เอาแบบตัวเลขแม่นๆก็ประมาณ 40-60 กรัม จากนั้นนำมาต้มกับน้ำประมาณ  2 แก้วโดยต้มสัก 4-5 นาที  จะทานร้อนๆ หรือเพื่อพิ่มรสชาติโดยการเติมน้ำตาลสักนิดแล้วตู้เย็นไว้ทานเย็นก็ได้ โดยแบ่งทานครั้งละครึ่งแก้ว หลังอาหาร

 

สุตรที่ 2 ใช้ตระไคร้เป็นยาแก้ไข้ ลดความร้อน   นอกจากการทานยาลดไข้เวลาเราไม่สบายแล้ว ตระไคร้ก็สามรถลดไข้ ลดอุณภูมิของร่างกายได้ (แต่ถ้าไข้สูง แนะนำให้พบแพทย์นะครับ)

 วิธีใช้สมุนไพร  ในสูตรนี้นอกจากตะไคร้แล้ว จะมีการใช้เหง้าขิงร่วมด้วย โดยที่ ใช้ขิงและตะไคร้ อย่างละ ¼ แก้ว และใช้น้ำ 3 แก้ว จากนั้นตั้งไฟเคี่ยวไปเรื่อยๆด้วยไฟอ่อนจนให้น้ำงวดลงจนเหลือ ประมาณ 2 ใน 3    เวลาทานก็ทานทีละ 1/3  แก้ว วันละ  3-4 ครั้ง

 

สุตรที่ 3  ใช้บรรเทาอาการปวดประจำเดือน   หลายคนอาจจะบอก่าผู้เขียนเป็นผู้ชาย จะมาเข้าใจอะไรในอาการนี้ขอผู้หญิง แน่นอนครับผมอาจจะไม่เคยปวดประจำเดือน  แต่ฟังจากคำบอกเล่า ของคุณแฟนแล้ว ก็พอเข้าใจครับว่ามันทรมานขนาดไหน

วิธีใช้สมุนไพร ใช้ต้นและรากตระไคร้สด 1 กำมือ  หั่นบางๆ ผึ่งแดดให้แห้ง ใช้ชงเป็นชากับน้ำร้อนใช้ดื่มต่างน้ำ

 

สูตรที่ 4 บำรุงผมสวยด้วยตะไคร้  มาถึงสูตรนี้เป็นเรื่องความสวยความงามกันบ้าง  สำหรับสาวๆ (หนุ่มๆ) ท่านใดอยากมีผมสวยสุขภาพดี มาลองสูตรนี้ดูกัน

วิธีใช้สมุนไพร  ใช้ต้นบนดินสดๆ ตัดใบทิ้ง (แบบที่เขามัดรมกันขายในตลาดนั่นแหละครับ) ใช้ประมาณ 3-4 ต้น นำมาหั้นแล้วตำให้ละเอียด(หรือปั่นด้วยเครื่องปั่นก็ได้) จากนั้นเติมน้ำสัก 2 ถ้วยแก้ว คั้นเอาแต่น้ำ นำมาโชลมเส้นผมที่สระเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้ 10-15 นาทีสระออกให้หมด จะช่วยทั้งขจัดรังแค ทำให้เส้นผมดำเงางาม อีกทั้งสำคัญที่สุดคือแก้ในเรื่องผมแตกปลายได้อีกด้วย

 

สูตรที่ 5 รักษาอาการขัดเบา อาการขัดเบา หรือปัสสาวะขัดนั้น ในตำรายาสมุนไพรไทย ก็ได้เขียนเอาไว้จึงนำมาลองให้อ่านดู

วิธีใช้สมุนไพร  สำหรับรักษาอาการขัดเบา ใช้เหง้าและลำต้นสด หรือแห้ง 1 กำมือ หรือน้ำหนักสด 40-60 กรัม ถ้าแห้งก็ 20-30 กรัม ทุบต้มกับน้ำพอควร แบ่งดื่ม 3 ครั้ง ๆ ละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร) ก่อนอาหาร หรือ จะหั่นตะไคร้คั่วด้วยไฟอ่อน ๆ พอเหลือง ชงด้วยน้ำเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ 5-10 นาที ดื่มแต่น้ำ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา ก่อนอาหาร ข้อควรระวัง การใช้สมุนไพร ช่วยแก้อาการขัดเบานี้ ไม่ไช้กับคนไข้ที่มีอาการบวมน้ำ

 

เป็นไงครับกับ 5 สูตรที่ได้นำมาฝาก สนใจสูตรไหนก็ลองทำดูได้ไม่เสียหลายนะครับ

ฝากนิดนึงสำหรับคนที่จะนำบทความนี้ไปเผยแพราต่อ ทางเว็บเรายินดีครับ แต่อย่าลืมท้ายบทความช่วยลงลิงค์

http://ไทยสมุนไพร.net เพื่อเป็นเครดิตด้วยนะครับ จะได้มีกำลังใจเขียนบทความดีๆต่อไป

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก หนังสือสมุนไพรไทยในวัด ,เว้บไซด์ สมุนไพรไทย 200 ชนิด:สมเด็จพระเทพ

 

ต.ค. 032012
 

หากจะพูดถึงจังหวัดนครปฐม ของดีขึ้นชื่อของที่นั่นอยู่ในคำขวัญจังหวัดอยู่แล้ว แต่มันมีหลายอย่าง แน่นอนเข้าเว็บ ไทยสมุนไพร..net จะให้นึกถึงอะไรเป็นอย่างแรกเสียไม่ได้ ถ้าไม่ใช่….. ลูกสาวสวย   …..เอ๊ยส้มโอหวานต่างหากล่ะ (เกือบหลุดแล้ว)  ส้มโอนั้นเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วย วิตามิน ซี  และแคลเซียมสูง ผลจะนำมาทานเมื่อสุกแล้ว ใครกินส้มโอดิบคงพิลึก นอกจากทานสดสดแล้วนั้น ยังเอามาทำอาหารได้อีก ที่นิยมก็คือยำส้มโอ ไว้วันหลังมีโอกาศจะเอาสูตรเด็ด ยำส้มโอมาลง  เปลือกส้มโอมีรสขมนิยมนำไปแช่อิ่ม  นอกจากนี้ที่ประเทศจีนนิยมทำเป็นยาแก้ไอ และผสมยาหอมรับประทาน

มาพูดถึงรูปร่างลักษณะของส้มโอกันบ้าง

ผลส้มโอ หรือ ลูกส้มโอ ลักษณะของ ส้มโอลำต้นของส้มโอ ลักษณะของส้มโอ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 8-9 เมตร ลำต้นสีน้ำตาล

ใบส้มโอ   มีใบเดี่ยว รูปมนรี ขอบใบเป็นคลื่น  เล็กน้อย ปลายใบมนเช่นเดียวกับโคนใบ

ดอก   ออกดอกเดี่ยว  หรือเป็นช่อ อยู่ตามง่ามใบ มีสีขาว มีกลีบดอก 4 กลีบ 

ผล  ทุกท่านคงจะเคยผ่านตามาบ้าง รูปร่างกลมโต เปลือกหนา มีต่อมน้ำมันมาก ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลแก่หรือผลสุกจะมีสีเหลืองอ่อน และมีสีชมพู มีรสหวานอมเปรี้ยว มีเมล็ดอยู่ภายใน

 

และแล้วก็มาถึงไฮไลท์นั่นคือ สรรพคุณทางด้าน สมุนไพรไทย ของส้มโอ

ผลส้มโอ มีสรรพคุณขับลมในลำไส้  แก้เมาเหล้า (อันนี้ชอบ)

 เปลือกของผลส้มโด จะช่วยขับเสมหะ จุกแน่นหน้าอก ตามตำราโบราณบางตำราบอกว่า  บรรเทาไส้เลื่อนได้ด้วย ซึ่งยังไม่มีหลักฐานรับรองตรงนี้ ซึ่งอาจจะมีสรรพคุณตรงนี้ตามที่ตำราโบราณเขียนไว้ก็ได้ เพราะคนโบราณเขาศึกษาจากการสังเกต แน่นอนต้องรองานวิจัยอื่นๆต่อไป

ใบส้มโอ นำมาต้มพอกศรีษะ บรรเทาอาการปวดหัว นอกจากนั้นยังเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้ออีกด้วย

ดอกส้มโอ  แก้อาการจุกสียดในกระบังลม กระเพาะอาหาร

เมล็ดส้มโอ มีประโยชน์ในเรื่องของ แก้หวัด แก้ไอ ปวดท้องน้อยและกระเพาะอาหาร รวมไปถึงเรื่องของการแก้ไส้เลือน ซึ่งอันนี้เป็นกรณีที่ต้องค้นคว้าต่อเหมือนเปลือกของส้มโอ

 

นอกจากนั้นแล้วส้มโอยังมี วิตามินซี อันนี้คงพอทราบกันในเรื่อป้องกันเลือดออกตามไรฟัน และเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ รวมไปถึงในส้มโอยังมีแคลเซียม ซึ่งเสริมสร้างและบำรุงกระดูกและฟันได้เป็นอย่างดี

 

ทั้งหมดนี้คือที่ผมนำมาฝาก ไปตลาดเห็นส้มโอ ก็อุดหนุนแม่ค้าสักคนละสูกสองลูกนะครับ

ปอลอ ช่วงนี้เขียนเรื่องผลไม้เยอะหน่อยอย่าว่ากันนะครับ  วันต่อๆมาอาจจะมีผักสมุนไพร และพืชสมุนไพรอื่นทยอยมาเพิ่ม อยากให้เขียนเรื่องไหน สมุนไพรอะไร ก็ comment มาบอกกันได้นะครับ