ก.ย. 152013
 

ใบหม่อน เมื่อได้ยินครั้งแรกคุณนึกถึงอะไร แน่นอนเมื่อสมัยก่อนคนอาจนึกถึงใบของพืชชนิดชนิดหนึ่ง ที่เอาไว้เลี้ยงดักแด้ของหนอนไหม แล้วสมัยนี้ล่ะเขานึกถึงอะไรกัน แน่นอนคันสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ ชาใบหม่อนชาสมุนไพรไทยนั่นเองนั่นเอง ก่อนที่จะพูดถึงชา เรามาพูดถึงต้นหม่อนกันก่อน

ชื่อสมุนไพร          หม่อน  หรือ mulberry (สังเกตฝรั่งเห็นอะไรเป็นลูกๆเป็นพวงๆ เขาเล่นเรียก berry หมด)
ชื่ออื่นๆ                 มอน (ตะวันออกเฉียงเหนือ)   ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียก ซิวเอียะ
ชื่อวิทยาศาสตร์    Morus alba Linn.  ชื่อวงศ์  Moraceae
ใบหม่อนลักษณะของต้นหม่อน

  • ไม้พุ่มขนาดกลาง เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านไม่มากนัก
  • ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ หรือรูปไข่กว้าง ขอบเรียบหรือหยักเว้าเป็นพู ขึ้นกับพันธุ์   ผิวใบสาก  ปลายเรียวแหลมยาว ฐานใบกลม หรือรูปหัวใจ หรือค่อนข้างตัด ใบอ่อนขอบจักเป็นพูสองข้างไม่เท่ากัน ขอบพูจักเป็นซี่ฟัน
  • ดอกช่อ รูปทรงกระบอกออกที่ซอกใบ และปลายยอด แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียอยู่ต่างช่อกัน วงกลีบรวมสีขาวหม่น หรือสีขาวแกมเขียว ช่อดอกเป็นหางกระรอก
  • ผลเป็นผลรวม รูปทรงกระบอก มีสีเขียว เมื่อสุกสีม่วงแดงเข้ม เกือบดำ ฉ่ำน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยว

หม่อน  นอกจากจะเป็นอาหารตามธรรมชาติ เพียงชนิดเดียวของหนอนไหมแล้ว เรายังสามารถ ยอดอ่อนรับประทานได้ มักใช้ใส่แกงแทนผงชูรสเพื่อเพิ่มรสชาติอาหาร (นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากหลีกเลี่ยงผงชูรส )หรือใช้เป็นอาหารต่างผัก พบทั่วไปในป่าดิบ  และยังพบอีกว่าหากนำใบหม่อนให้วัวและควายกินสามรถทำให้มีน้ำนมเพิ่มขึ้นได้

คุณค่าทางด้านสมุนไพรของใบหม่อน

หลักๆเลยในใบหม่อนนั้นจะมีสารตามธรรมชาติอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณค่าทางด้านสมุนไพรไทยที่ แตกต่างกัน คือ

1.  สารดีอ็อกซิโนจิริมายซิน (Deoxynojirimycin) ซึ่งสารนี้เองมีผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือด

2. กาบา  (GABA) หรือชื่อเต็มๆคือ gamma amino butyric acid ที่มีคุณสมบัติในการลดความดันโลหิต

3. สารฟายโตสเตอรอล  (Phytosterol) ที่มีประสิทธิภาพในการลดความระดับคอเลสเตอรอล

4. แร่ธาตุ และวิตามิน อื่นๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม โปแตสเซียม โซเดียม แมกนีเซียม เหล็ก  สังกะสี  วิตามินเอ วิตามินบี อีกทั้งยังมี กรดอะมิโนหลายชนิด

5. สารเควอซิติน (quercetin) และ เคมเฟอรอล (kaempferol) ซึ่งเป็นสารกลุ่ม  ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่มีคุณสมบัติ ป้องกันการดูดซึมของน้ำตาลในลำไส้เล็ก  ทำให้กระแสเลือดหมุนเวียนดี  และหลอดเลือดแข็งแรง  ยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็งเม็ดเลือด  มะเร็งเต้านม  และมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดอาการแพ้ต่าง ๆ และยืดอายุเม็ดเลือดขาว

6.สารโพลีฟีนอลโดยรวม  (polyphenols) ซึ่งมีฤทธิ์ด้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย (ลองอ่านดูเรื่องเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระที่ลิงค์นี้นะครับ สารต้านอนุมูลอิสระ

การชงชาใบหม่อนให้ได้คุณค่า

ชาใบหม่อน

จริงก็ไม่มีอะไรมากครับ  โดยที่ให้เราชงด้วยน้ำร้อน 80 – 90 องศาเซลเซียส (กะเอาได้ครับคือหลังจากเดือดแล้วทิ้งไว้สักครู่)   จะรักษาปริมาณสารออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด แล้วทิ้งไว้ นานอย่างน้อย 6 นาที ก่อนดื่ม จะได้คุณค่าทางโภชนาการและเภสัชวิทยา

เป็นไงบ้างครับ สำหรับเรื่องดีๆที่นำมาอ่านกันอย่าลื่มลองหาชาใบหม่อน ชาสมุนไพร แบบไทยๆมาทานกันดูบ้างนะครับ

ขอบคุณข้อมูลประกอบบทความจาก คุณวิโรจน์ แก้วเรือง ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์หม่อนไหม และ ฐานข้อมูลสมุนสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

แจกหนังสือ “คู่มือสมุนไพรไทย”

 ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทย  ปิดความเห็น บน แจกหนังสือ “คู่มือสมุนไพรไทย”
ก.ย. 092013
 

พอดีผมมีโอกาศได้เข้าไปหาข้อมูลใน Website ของ สำนักงานพระพุทธศาสนา บังเอิญไปเห็นว่ามีการแจก E-book เล่มหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพร ชื่อเต็มๆของหนังสือเล่มนั้นคือ  คู่มือสมุนไพร โครงการสวนสมุนไพรในวัด (พรรณไม้ ๗๖ จังหวัด) ชื่อยาวนิดนึง หน้าปกเป็นดังในรูปครับ

คู่มือสมุนไพร

หนังสือสมุนไพร

 

 

 

 

 

 

 

 

เนื้อหาข้างในดีมากๆ มีมากถึง 171 หน้า โดยแบ่งออกหมวดหมู่น่าสนใจเช่น แบ่งชื่อสมุนไพรตามตัวอักษร และที่น่าสนใจคือมีการบอกว่าจังหวัดนั้นๆมีสมุนไพรอะไรที่ขึ้นชื่อ อย่างในรูปเป็นสมุนไพร ที่ชื่อสีเสียดแก่น เป็นไม้สมุนไพรประจำจังหวัด กำแพงเพชร  จริงๆแล้วตั้งใจว่าเนื้อหาทั้งหมดจะทยอยนำมาเผยแพร่ที่ web ไทยสมุนไพร.net แห่งนี้นะครับ แต่ถ้าใครอยากได้ไปศึกษา ก็สามารถโหลดทั้งเล่มได้ที่ลิ้งค์นี้เลยนะครับ (ดับเบิ้ลคลิ๊กเพื่อเปิดไฟล์ หรือ คลิ๊กขวาแล้วเลือกsave as)

 

http://www.onab.go.th/e-Books/Herbal50.pdf

ยังไงต้องขอขอบคุณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ได้จัดทำหนังสือดีๆเป็นวิทยาทานแก่คนที่รักในสมุนไพรไทย ทุกท่าน ขอบพระคุณมากครับ

ก.ย. 082013
 

ตอนเด็กๆ ระหว่างทางเดินกลับบ้านจะมีวัชพืชชนิดหนึ่งที่ผมมักจะเล่นด้วยประจำ นั่นคือเวลาที่เราจับใบของมันใบของมันจะหุบอัตโนมัติ จากต้นเขียวๆจะกลายเป้นต้นแดงๆเหมือนมันเหี่ยวภายในพริบตา  แปลกดีเหมือนกัน พืชชนิดนี้มีชื่อว่าไมยราบนั่นเอง หลายคนมักมองว่าไมยราบเป็นเพียงวัชพืชที่ไม่มีค่าอะไร แต่จริงๆแล้วไมยราบจัดเป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่มีคุณค่ามากทีเดียว มารู้จักพืชสมุนไพรชนิดนี้กันเถอะครับ.

ไมยราบ

ชื่อโดยทั่วไป  ไมยราบ หรือ Sensitive plant (ชื่อบอกลักษณะได้อย่างไร ว่าเป็นพืชที่อ่อนไหว แค่มีอะไรมากระทบก็หุบใบได้เอง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mimosa pucida L.   วงศ์ : Fabaceae (Leguminosae-Mimosoideae)
ชื่อตามอื่นๆภูมิภาค : เนื่องจากไมยราบเป็นสมุนไพร ที่พบได้ทุกภูมิภาคของไทย จึงมีชื่อเรียกต่างๆกัน ได้แก่          กระทืบยอด  หนามหญ้าราบ (จันทนบุรี)  กะหงับ (ภาคใต้)  ก้านของ (นครศรีธรรมราช)  ระงับ (ภาคกลาง)  หงับพระพาย (ชุมพร)  หญ้าจิยอบ  หญ้าปันยอด (ภาคเหนือ)
ถิ่นกำเนิด : อเมริกาใต้ แต่ประเทศไทยนำเข้าโดยกรมทางหลวงเพื่อช่วยคลุมหน้าดิน นับว่ามีประโยชนืมากทีเดียว

ลักษณะต้นไมยราบ : ไมยราบเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ทอดเลื้อยตามพื้นดิน บางครั้งพบว่าสูงถึง 1 ม. มีขนหยาบปกคลุมลำต้น แกนก้านใบ ท้องใบ และช่อดอก  ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น แกนกลางรวมก้านใบยาว 2.5-5 ซม. ใบประกอบย่อยมี 1-2 ใบ ยาว 1.5-7 ซม. ใบย่อยมี 12-25 คู่ รูปขอบขนานหรือคล้ายๆ รูปเคียว ยาว 0.5-1 ซม.  ช่อดอกออกเดี่ยวหรือเป็นคู่ ตามซอกใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 2.5-4 ซม.  ดอกจำนวนมาก ไร้ก้าน กลีบเลี้ยงเล็กมากประมาณ 0.1 มม. กลีบดอกรูประฆังแคบ ยาวประมาณ 2 มม. กลีบดอกมนกลม ยาว 0.5-0.8 มม. เกสรเพศผู้มี 4 อัน รังไข่ยาวประมาณ 0.5 มม. เกลี้ยง  ฝักมีหลายฝักในแต่ละช่อดอก รูปขอบขนาน ตรง ยาว 1.5-1.8 ซม. มีขนแข็งตามขอบ

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย
ราก      แก้ไอ ขับเสมหะ แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง แก้ระบบการย่อยอาหารของเด็กไม่ดี บำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้ตาสว่าง ระงับประสาท แก้บิด ขับปัสสาวะ รักษาโรคปวดเวลา                 มีประจำเดือน ถ้าไข้ขนาดสูงมากๆ จะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน แก้ริดสีดวงทวารรสขมเล็กน้อย ฝาด ปวดข้อ กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง

ต้น        ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ขับระดูขาว ขับโลหิต
ใบ         แก้เริม งูสวัด โรคพุพอง ไฟลามป่า
ทั้งต้น  ขับปัสสาวะแก้ไตพิการ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ขับระดูขาว แก้ไข้ออกหัด แก้นอนไม่หลับ แก้กระเพาะอาหารอักเสบ สงบประสาท แก้ลำไส้อักเสบ แก้เด็กเป็น                               ตานขโมย แก้ผื่นคัน แก้ตาบวมเจ็บ แก้แผลฝี

จะเห็นว่าไมยราบมีสรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยมากมายจริงๆ จะลองเอามาปลูกดูก็ไม่เสียหลายนะครับ

ขอบคุณที่มาของข้อมูล  : คุณนพพล เกตุประสาท  หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ. นครปฐม เผยแพร่ใน ใน web ของ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

กวาวเครือขาว เพิ่มหน้าอกได้จริงหรือ?

 บำรุงผิว, พืชสมุนไพร, เสริมความงาม  ปิดความเห็น บน กวาวเครือขาว เพิ่มหน้าอกได้จริงหรือ?
มิ.ย. 232013
 

หากพูดถึงกวาวเครือขาว สมุนไพรไทยชนิดนี้มักถูกพูดถึงบ่อยๆ ในเรืองของการ ช่วยเพิ่มหน้าอก หรือช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ตามแแผงสมุนไพรเสริมความงามต่างๆก็มีแทบทุกร้าน แต่วันนี้เราจะมารู้กันว่าประโยชน์มันดีอย่างที่ว่าจริงหรือ และโทษหรือผลข้างเคียงของมันล่ะมีอะไรบ้างเรามารู้กัน

กวาวเครือ,กวาวเครือขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ของกวาวเครือขาว   Pueraria mirifica Airy Shaw et Suvatab.

วงศ์ Leguminosae    หรือเป็นพืชในตระกูลถัวนั่นเอง

แหล่งที่พบ  ขึ้นในป่าเบญจพรรณ บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 250-800 เมตรในป่าสูงทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้ใหญ่ เป็นไม้ผลัดใบ ขนาดกลาง เถายาวประมาณ 5 เมตร ลำต้นเกลี้ยง เปลือกนอกของลำต้นมีสีน้ำตาลเข้มและค่อนข้างแข็ง มีหัวใต้ดินขนาดใหญ่ทำหน้าที่สะสมอาหาร

รูปร่างลักษณะ  ค่อนข้างกลม และคอดยาวเป็นตอนๆต่อเนื่องกัน กิ่งอ่อน ยอดอ่อน ก้านช่อดอก และกลีบเลี้ยงมีขนสั้นๆ ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ ก้านใบประกอบยาว 10-38 ซม. ใบย่อยใบกลางรูปไข่กว้าง 9-15 ซม. ยาว 15-30 ซม. ปลายมนถึงเรียวแหลม โคนสอบถึงมน กวาวเครือแดง คาดว่าคือ Butea superba Roxb. ในวงศ์ Leguminosae เช่นเดียวกัน

นอกจากกวาวเครือขาวยังมีกวาวเครือชนิดอื่นอีกหรือไม่ ?  ตอบว่ามีครับคือ

กวาวเครือแดง เมื่อถูกสะกิดที่เปลือกหัวจะมียางสีแดงคล้ายเลือดไหลออกมาเมื่อใช้ทำเป็นยา ชนิดแดงแรงกว่าชนิดขาว

กวาวเครือดำ ลำต้นและเถาเหมือนกวาวเครือแดง แต่ใบและหัวมีขนาดเล็กกว่า มียางสีดำ ใช้ทำเป็นยามีฤทธิ์แรงมาก ขนาดที่ใช้น้อยมาก

กวาวเครือมอ ทุกส่วน ต้น เถา ใบ หัว เหมือนกับชนิดดำ แต่เนื้อในหัวและยางสีมอๆค่อนข้างจะหายาก เช่นเดียวกับชนิดดำ มีหัวเล็กขนาดมันเทศ

เพราะอะไรกวาวเครือขาวจึงทำให้หน้าอกขยายตัวได้ ?

ในกราวเครือขาวจะมีสารออกฤทธิ์สำคัญที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิง (Phytoestrogens) ซึ่งได้แก่miroestrol และ deoxymiroestrol ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ลักษณะความเป็นผู้หญิงออกมา เช่น หน้าอกขยายใหญ่ขึ้นในระยะเวลา 2-3 เดือน ประมาณ 0.5 – 1 นิ้ว ซึ่งกระบวน การเหล่านี้จะทำให้หน้าอกขยายขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับหนึ่งเมื่อหน้าอกกระชับแล้วกระบวนการเหล่านี้ก็จะสิ้นสุดลง และสาร miroestrol ยังช่วยให้เพิ่มความเปล่งปลั่งสดใสให้ผิวพรรณได้อีกด้วย ซึ่งการออกฤทธิ์ดังกล่าวนี้หากใช้ในปริมาณน้อย จะช่วยออกฤทธิ์กระตุ้นในเชิงบวก แต่ถ้าใช้ในปริมาณมากจะออกฤทธิ์ในการยับยั้งเสียเอง โดยฤทธิ์ของกราวเครือขาวนั้นไม่ถาวร ถ้าหยุดรับประทานฤทธิ์ของกราวเครือก็จะค่อยๆหมดไปภายใน 2-3 สัปดาห์ (และการเก็บรักษาที่นานเกินไป 5-10 ปี จะทำให้ฤทธิ์ก็จะค่อยๆเสื่อมลงเช่นกัน)

 

สมุนไพรตัวนี้ต้องทานมากน้อยขนาดไหนจึงจะพอดี ?

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดขนาดในการรับประทานว่าห้ามเกินวันละ 100 mg. และที่สำคัญห้ามรับประทานร่วมกับการใช้ยาคุมกำเนิด

 

กวาวเครือขาวมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?

  1. ตำรายาแผนโบราณระบุไว้ว่า คนหนุ่มสาวห้ามรับประทาน (ในที่นี้คงจะหมายถึงผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี)
  2. ห้ามใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะตัวยาอาจจะไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศและระบบประจำเดือนได้ หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
  3. เด็กหญิงวัยก่อนมีประจำเดือน ไม่ควรรับประทาน
  4. สตรีที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตร ไม่ควรรับประทาน
  5. ผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง เนื้องอก หรือเป็นโรคต่อมไทรอยด์โต ไม่ควรรับประทาน
  6. ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทรวงอก มดลูกและรังไข่ เช่น เป็นซีสต์ พังผืด เนื้องอกเป็นก้อน มะเร็ง ก็ไม่ควรรับประทาน
  7. ผู้ที่ดื่มสุรา และมีประวัติเป็นโรคตับเป็นพาหนะไวรัสตับอักเสบบีที่มีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง ก็ไม่ควรรับประทาน
  8. ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเกินไปหรือติดต่อกันนานกว่า 2 ปี
  9. ห้ามรับประทานเกินขนาดที่แนะนำ หรือไม่เกินวันละ 100 mg.
  10. ห้ามรับประทานของหมักดองเปรี้ยว ดองเค็ม (ตำราแผนโบราณกล่าวไว้ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์)
  11. ควรอาบน้ำวันละ 3 ครั้ง (ตำราแผนโบราณกล่าวไว้ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์)
  12. ห้ามไม่ให้ตากอากาศเย็นเกินไป (ตำราแผนโบราณกล่าวไว้ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์)
  13. ฮอร์โมนเหล่านี้หากได้รับมากจนเกินไปอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
  14. อาจจะทำให้เยื่อหุ้มอัณฑะหนาตัวและอาจเป็นมะเร็งอัณฑะในเพศชายได้ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
  15. ในเพศหญิงอาจมีผลทำให้เต้านมแข็งเป็นก้อนหรืออาจทำให้เกิดเนื้องอกจนเป็นมะเร็งเต้านมได้ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
  16. กราวเครือนั้นมีพิษทำให้เมาเบื่อตัวเองการรับประทานมาเกินไปอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ ด้วยเหตุนี้ควรรับประทานสมุนไพรที่มีส่วนช่วยป้องกันหรือรักษาอาการท้องอืดร่วมด้วย เช่น พริกไทย เป็นต้น
  17. หากรับประทานกราวเครือขาวแล้วอาจจะทำให้ประจำเดือนมามากกว่าปกติ จนบางท่านรู้สึกกังวล แต่การที่ประจำเดือนมามากนี้ก็ถือเป็นผลดีต่อร่างกายในการขับของเสียทำให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น จึงไม่ต้องเป็นกังวล
  18. สามารถใช้ครีมบำรุงทรวงอก (Breast Cream) ร่วมกับกราวเครือขาวได้ในการเพิ่มขนาดทรวงอกได้
  19. กวาวเครือขาว ผลข้างเคียงและอาการอื่นๆที่พบได้ทั่วไป เช่น เจ็บคัดเต้านม ปวดศีรษะ คลื่นไส้ มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าผลข้างเคียงค่อนข้างมากเหมือนกันฉะนั้นจะใช้ก็ให้พิจารณาและใช้ความระมัดระวังนะครับจริงๆ  อีกอย่างแต่เดิมตำราสมุนไพรไทย กราวเครือขาวจะถูกนำมาใช้กับผู้สูงอายุมากกว่า หากจะใช้จริงๆ ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เวลาเลือกซื้อก็ควรเลือกแบบ น่าไว้ใจ (มี อ.ย. )ไม่ผสมนั่นผสมนี่เข้าไปจนเกินจำเป็น

 ข้อมูลอ้างอิง

http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20090413175228AAg94kg
http://www.greenerald.com/
 

ชุบชีวิต เสื้อผ้าเก่า ด้วยดอกอัญชัญ

 ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทย, สูตรยาสมุนไพร  ปิดความเห็น บน ชุบชีวิต เสื้อผ้าเก่า ด้วยดอกอัญชัญ
เม.ย. 152013
 

สวัสดีครับ ชาว ไทยสมุนไพร.net ทุกท่าน วันนี้ขอฉีกแนวนิดนึง คือทุกครั้งจะเป็นเรื่องราวของสมุนไพร ที่ใช้ในการรักษาโรค คราวนี้มาในแนวสมุนไพร กับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายบ้าง อย่าพึ่งงงครับว่าเกี่ยวข้องกันยังไง และอย่าพึ่งตกใจไป ผมไม่ได้มาแนะนำให้เอาใบ สมุนไพร มาตัดเย็บเป็นชุดสวมใส่เหมือนนางไม้ แต่สำหรับเรื่องที่จะมาเล่ากันในวันนี้ เป็นการทำให้เสื้อตัวเก่าที่ดูจืด เช่นเสื้อขาว ที่ใส่ไปนานๆแล้วหมอง (หรือจะใช้เทคนิคนี้กับเสื้อใหม่ก็ได้) มาทำเป็นเสื้อมัดย้อมสีสันสดใส โดยไม่ใช้สารเคมีใดๆ แต่เป็นการใช้สมุนไพรล้วนๆ

ยังไงก็ขอบคุณไอเดียดีดี เนื้อหา และภาพประกอบ จากหนังสือ SOOK (หาซื้อได้ที่ 7-Eleven วางแผงทุกวันที่ 28)

สิ่งที่ต้องเตรียม

ผ้ามัดย้อม1.ดอกอัญชัญ สมุนไพรบ้านๆที่หาได้ทั่วไป

2.เสื้อผ้าที่ต้องการย้อม

3.ผ้าขาวบาง จะบางน้อยหรือบางมากก็ไม่เป็นไร

4.หนังยางหรือเชือกฟาง

5.น้ำ                6. เกลือ

วิธีการทำ

ขั้นตอนการทำผ้ามัดย้อม

– ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้ละลาย จากนั้นใส่ดอกอัญชัญลงไป ต้มจนได้สีน้ำเงินเข้ม

– ตักดอกอัญชัญออก

-นำผ้าหรือเสื้อที่ต้องการมัดย้อมมามัดด้วยหนังยางหรือเชือกฟางให้แน่น ขั้นตอนนี้จะมัดแบบไหนก้ตามใจ เพราะลวดลายมันขึ้นอยู่กับการมัดของเรา ถ้านึกไม่ออก ก็จับเสื้อทบครึ่งตามยาว และมัดเป็นปล้องสักสองปล้องก็ได้ แต่ที่สำคํญมัดแน่นเข้าไว้

-นำผ้าหรือเสื้อที่มัดไว้ ลงแช่สักสองหรือสามชั่วโมง ขั้นตอนนี้อย่าแกะหนังยางหรือเชือกออก เพื่อกันไม่ให้น้ำสีหลุดติดตรงที่เรามัดไว้

เสื้อจากดอกอันชัน

-แกะหนังยางหรือเชือกฟาง ออกแล้ว นำผ้าไปแช่น้ำเกลือ สัก หนึงชั่วโมง จากนั้นนำไปซักกับน้ำเปล่า จนสีไม่ตก

-ตากให้แห้ง แค่นี้คุณก็จะได้เสื้อตัวใหม่สวยไม่ซ้ำใครแล้ว

ใครจะลองทำดูก็ไม่เสียหลายนะครับวัสดุก็หาได้ใกล้ๆตัว แถมผลงานที่ทำออกมายังแนวไม่เหมือนใครอีก  ไว้โอกาศหน้าจะหาเรื่องราวดีๆมาเล่าให้ฟังอักนะครับ

 

ม.ค. 072013
 

ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าสำนวนที่บอก “ไม่เป็นสับปะรด”มันมีที่มาที่ไปยังไง ทำไมมันไปหมายถึงอะไรที่ไม่เข้าท่าไปได้ แต่อย่างไรก็ตามสมุนไพรไทยที่นำเสนอวันนี้ผมรับรองว่าเป็นสับปะรดแน่นอน เพราะมันคือสัปปะรด งงไหม? ก่อนที่เราจะไปดูกันต่อว่าสับปะรดมีดียังไงเรามารู้จักชื่อเสียงเรียงนามและลักษณะของสับปะรดกันก่อน

สับปะรดชื่อทางวิทยาศาสตร์ของสัปปะรด :   Ananas comosus  (L.) Merr.

ชื่อโดยทั่วไป:  สับปะรด หรือ Pineapple (หลายคนอาจงงว่ามันเกี่ยวกับแอบเปิ้ลยังไง จริงๆคำนี้มันก็ตามตัวนะครับคือฝรั่งจะมีขนมอย่างหนึ่งที่ใช้ผลไม้เป็นองค์กระกอบ ซึ่งก็คือพายผลไม้นั่นเอง คราวนี้มันมีพายอันหนึ่งคือพายทำจากแอปเปิ้ล ลักษณะจะออกสีเหลืองๆ ซึ่งลักษณะมีเนื้อคล้ายๆของเนื้อสับปะรด เมื่อฝรั่งได้เห็นสับปะรดเป็นครั้งแรกจึงตั้งชื่อผลไม้ที้ว่า พาย-แอปเปิ้ลนั่นเอง

ชื่อวงศ์ :   Bromeliaceae

ชื่ออื่น :  หมากนัด (ภาคอีสาน) แนะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ขนุนทอง ยานัด ย่านนัด (ใต้) บ่อนัด (เชียงใหม่) เนะซะ (กะเหรี่ยงตาก) ม้าเนื่อ (เขมร) มะขะนัด มะนัด (เหนือ) หมากเก็ง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน)  ลิงทอง (เพชรบูรณ์) จะเห็นว่าชื่อตามท้องถิ่นมีเยอะมาก เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ขึ้นได้หลายที่นั่นเอง

ลักษณะของสับปะรด : เป็นผลไม้สมุนไพร ที่เป้นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 90-100 ซม. ลำต้นใต้ดิน ปล้องสั้น ไม่แตกกิ่งก้านมีแต่กาบใบห่อหุ้มลำต้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวีสลับซ้อนกัน ไม่มีก้านใบ ใบเรียวยาว โคนใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ปลายแหลม ขอบใบมีหนาม แผ่นใบสีเขียวเข้มและเป็นทางสีแดง ด้านล่างมีนวลแป้งสีขาว ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเรียงอัดกันแน่นรอบแกนช่อดอก ก้านช่อใหญ่แข็งแรง กลีบดอก 3 กลีบ ด้านบนสีชมพูอมม่วง ด้านล่างสีขาว เกสรเพศผู้ 6 อัน เรียบกัน 2 ชั้น ผล เป็นผลรวมรูปรี โคนกว้าง ปลายสอบ มีใบสั้นเป็นกระจุกที่ปลายผล เรียกว่าตะเกียง ผลสุกสีเหลืองสดและฉ่ำน้ำมีตาอยู่รอบผลที่เป้นลักษณะเฉพาะของสับปะรด

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย : สับประรดเรียกได้ว่าทุกส่วนมีสรรพคุณด้านสมุนไพรไทยแทบทั้งสิ้นสุดแต่เราจะเลือกใช้

  • ราก –  ใช้บรรเทานิ่ว ขับปัสสาวะ แก้กระษัย ทำให้ไตมีสุขภาพดี แก้หนองใน แก้มุตกิดระดูขาว แก้ขัดข้อ
  • หนาม – แก้พิษฝีต่างๆ แก้ไข้ ลดความร้อน ไข้พา ไข้กาฬ
  • ใบสด – เป็นยาระบาย ฆ่าและถ่ายพยาธิในท้อง ยาขับปัสสาวะ แก้กระษัย
  • ผลดิบ – ใช้ห้ามโลหิต แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ฆ่าพยาธิ และขับระดู
  • ผลสุก – ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และบำรุงกำลัง ช่วยย่อยอาหาร แก้หนองใน มุตกิด กัดเสมหะในลำคอ
  • ไส้กลางสับปะรด – แก้ขัดเบา (ฉะนั้นทางสับปะรดก็อย่าทิ้งแกนกลางมันนะครับ)
  • เปลือก – ขับปัสสาวะ แก้กระษัย ทำให้ไตมีสุขภาพดี
  • จุก – ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้หนองใน มุตกิดระดูขาว
  • แขนง – แก้โรคนิ่ว
  • ยอดอ่อนสับปะรด – แก้นิ่ว

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
แก้อาการขัดเบา ช่วยขับปัสสาวะ ใช้เหง้าสดหรือแห้งวันละ 1 กอบมือ (สดหนัก 200-250 กรัม แห้งหนัก 90-100 กรัม) ต้มกับน้ำดื่ม ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร) วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร

เคล็ดลับในการรับประทานผลสับประรด ให้ได้รสชาติดีและปลอดภัย

ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียงๆ เป็นแถว เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น (ลองสังเกตตอนที่แม่ค้าหั่นดูก็ได้)แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และ เอ็มไซม์ บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ หลังรับประทาน

มาทานสับประรดกันนะครับนอกจากเป็นผลไม้ที่จัดว่าเป็นสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนเกษตรกรไทยอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ สมุนไพรก้นครัวกินแล้วไม่ป่วย ,ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ธ.ค. 262012
 

ผมเองคิดอยู่ตั้งนานว่าจะเขียนถึงสมุนไพรตัวนี้ดีไหม เพราะปัจจุบันมีคนเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับมะรุมเอาไว้มากเหลือเกิน รวมถึงมีการทำเป็นยาสารพัดชนิด สรรพคุณก็ว่ากันไปต่างๆนานา ตั้งแต่รักษามะเร็งไปจนถึงเอดส์เลยก็มี ซึ่งบางทีผมว่ามันก็อาจดูเกินจริงไปหน่อย แน่นอนมะรุมเป็นพืชที่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้ามันมีการพูดกันจนโอเว่อร์เกินไป ผมก็ว่าแทนที่จะทำให้คนรู้จักสมุนไพรตัวนี้ กลับทำให้สมุนไพรตัวนี้ขาดความน่าเชื่อถือ ผมจึงได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อให้ทุกท่านได้รู้จักกับมะรุม ในแบบที่ควรจะเป็นจริงๆ

มารู้จักมะรุมกันก่อน ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Moringa oleifera  Lam.

มะรุมชื่อโดยทั่ไป :  มะรุม หรือ Horse radish tree, Drumstick  (คำนี้แปลว่าไม้กลอง สังเกตุต้นมะรุมดู)

ชื่ออื่น :  กาเน้งเดิง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ผักเนื้อไก่ (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) ผักอีฮึม ผักอีฮุม มะค้อนก้อม (ภาคเหนือ)  เส่ช่อยะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะของมะรุม

  •  ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นสูง 3-6 เมตรหรือใหญ่กว่าเปลือกสีขาว รากหนานุ่ม
  • ใบ  ใบสลับแบบขนนก 2 หรือ 3 ชั้น ยาว 20-60 ซนติเมตร ใบชั้นหนึ่งมีใบย่อย 8-10 คู่ ใบแบบรูปไข่รูปไข่หัวกลับรูปคู่ขนาน ใต้ใบสีเขียวอ่อน ใบอ่อนมีขนสีเทาขนาดใบยาว 1-3 เซนติเมตร
  • ดอก ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามซอกใบ กลีบดอก 5 กลีบ สีขาวหรือขาวอมเหลืองแต้มสีแดงเข้าที่ใกล้ฐานด้านนอกยาว 1.4-1.9 เซนติเมตรกว้าง 0.4 เซนติเมตรปลายกลีบดอกกว้างกว่าโคน 4 กลีบ ตั้งตรง เกสรตัวผู้แยกจากกันสมบูรณ์ 5 อันไม่สมบูรณ์ 5 อันเรียงสลับกันมีขนสีขาว ที่โคนอับเกสรสีเหลืองเกสรตัวเมีย 1 อัน ผลยาวเป็นฝัก 3 เหลี่ยม เมล็ดมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร 3 ปีก

เมื่อรู้จักกับมะรุมแล้ว ขออนุญาตพูดถึงมะรุมต่อ ดังที่บอกไปในตอนต้น ปัจจุบันมีคนพูดถึงมากเหลือเกินโดยเฉพาะบรรดาบริษัทผลิตอาหารเสริมต่างๆที่มีการนำมะรุมมาแปรรูปเป็นแคปซูลสกัด ในกรณีที่ทำเป็นแคปซูลโดยบอกว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กรณีนี้ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเป็นกรณีที่บอกว่าใช้เป็นยารักษาสารพัดโรคล่ะก็ อันนี้ต้องคุยกันยาว เพื่อตอบข้อสงสัยผมขอเขียนลักษณะถามตอบเพื่อให้ง่ายต่อการอ่านและการจับประเด็นก็แล้วกันครับ

มะรุมเป็นพืชที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงจริงหรือ ?

ข้อนี้ตอบว่าจริงครับ อันนี้ยอมรับเลยมะรุมมีแร่ธาตุและสารอาหารหลายชนิด โดยที่ฝักมะรุม  100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 32 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย เส้นใย 1.2 กรัม แคลเซียม 9 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม วิตามินเอ 532 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม ไนอาซิน 0.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 262 มิลลิกรัม

มะรุมรักษาโรคเอดส์ได้จริงหรือไม่ ? ตอบว่ายังไม่มีการศึกษาในส่วนนี้อย่างเป็นทางการ  สรรพคุณของมะรุมมีแต่เพียงว่าเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเท่านั้น ดังนั้นสำหรับผู้ป่วย HIV ยาต้านไวรัสที่คุณหมอจัดให้ ยังคงจำเป็นอยู่

มะรุมรักษาเบาหวานได้หรือไม่ ? ไม่มีสมุนไพรชนิดไหนที่รักษาเบาหวานได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่มะรุมสามรถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นเดียวกับพืชสมุนไพรหลายชนิดเช่นมะระ แต่หากมีอาการเบาหวานจริงๆ การรักษาควบคู่ไปกับแพทย์แผนปัจจุบันยังคงดีที่สุด

สรรพคุณของมะรุมจริงๆแล้วคืออะไร

หากท่านได้ลองค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลอื่นๆอาจจะพบมีการอ้างประโยชน์ของมะรุมมากกว่านี้ แต่ผมจะนำเสนอเฉพาะประเด้นที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามะรุมมีสรรพคุณในข้อนั้นจริง ๆ ส่วนประเด็นที่ยังเป้ข้อสงสัยและถกเถียงผมจะขออนุญาตไม่นำเสนอ

1. ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด ถึง 10 ขวบ (มีการทดลองใช้ในประเทศแถบแอฟริกาที่มีปัญหาเรื่องภาวะโภชนาการ )

2. ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ทำให้สามารถลดการใช้ยาลงดังที่กล่วไป แต่ต้องความเห็นชอบและการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษาด้วย

3. สามรถลดความดันโลหิตได้

4. ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย

5. ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง (เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด)

6. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ เป็นต้น

7. รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ

8.บำรุงสายตา (เนื่องจากวิตามินเอในมะรุม)

สุดท้ายอยากจะฝากนิดนึงนะครับ ว่ามะรุมเป็นพืชสมุนไพรไทยที่มีคุณค่าในตัวมันอยู่แล้ว แต่ผมอยากให้มองว่ามะรุมเป็นผักชนิดหนึ่ง ที่มีประโยชน์ ดีกว่าการมองมะรุมเป็นยาที่มีความพิเศษหรืออัศจรรย์ หรือหากจะมองเป็นยาจริง ก็ขอให้มองเป็นตัวเลือกหนึ่งเพื่อสุขภาพที่ใช้ควบคู่กับการรักษาในกระแสหลักจะเป็นการดีที่สุด

ธ.ค. 182012
 

ส่วนใหญ่พืชที่เรานำมาทำสมุนไพร คนจะนึกถึงพืชล้มลุก ต้นเล็กๆ แน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น แต่สมุนไพรไทยบางอย่างก็อาจเป็นต้นไม้ใหญ่ได้เช่นกัน อย่างเช่นในวันนี้สมุนไพรไทยที่เราจะพูดถึงกันก้จัดเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีชื่อว่า อินทนิล นั่นเอง

อินทนิลชื่อทางวิทยาศาสตร์ :   Lagerstroemia speciosa (L.) Pers.

ชื่อโดยทั่วไป:   Queen’s crape myrtle , Pride of India (ชื่อนี้บอกถิ่นที่มาของพืชชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี)

ชื่อวงศ์ :   LYTHRACEAE

ชื่อตามภูมิภาค :   ฉ่วงมู  ฉ่องพนา (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ตะแบกดำ (กรุงเทพฯ)  บางอบะซา (มลายู-ยะลา, นราธิวาส) บาเย  บาเอ (มลายู-ปัตตานี) อินทนิล (ภาคกลาง, ใต้)

ลักษณะของต้นอินทนิล: 

  • ลำต้น  เป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 5-20 เมตร ลำต้น ต้นเล็กมักคดงอ แต่พอใหญ่ขึ้นจะค่อยๆตรง โคนต้นไม้ไม่ค่อยพบพูพอน มักจะมีกิ่งใหญ่แตกจากลำต้นสูงเหนือพื้นดินขึ้นมาไม่มากนัก ดังนั้น เรือนยอดจึงแผ่กว้าง พุ่มแบบรูปร่มและคลุมส่วนโคนต้นเล็กน้อยเท่านั้น  ผิวเปลือกนอกสีเทาหรือน้ำตาลอ่อน และมักจะมีรอยด่างเป็นดวงสีขาวๆ ทั่วไป ผิวของเปลือกค่อนข้างเรียบ ไม่แตกเป็นร่องหรือเป็นรอยแผลเป็น  เปลือกหนาประมาณ 1 ซม.  เปลือกในออกสีม่วง
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย ทรงใบรูปขอบขนานหรือบางทีเป้นรูปขอบขนานแกมรูปหอก  กว้าง 5-10 ซม. ยาว 11-26 ซม. เนื้อใบค่อนข้างหนา เกลี้ยง เป็นมันทั้งสองด้าน โคนใบมนหรือเบี้ยวเยื้องกันเล็กน้อย ปลายใบเรียวและเป็นติ่งแหลม เส้นแขนงใบ มี 9-17 คู่ เส้นโค้งอ่อนและจะจรดกับเส้นถัดไปบริเวณใกล้ๆ ขอบใบเส้นใบย่อยเห็นไม่เด่นชัดนัก ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นบ้างเล็กน้อย ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม. เกลี้ยง ไม่มีขน
  • ดอก ดอกของอินทนิลจะมีสีต่างๆ กัน เช่น สีม่วงสด ม่วงอมชมพู หรือม่วงล้วนๆ ออกรวมกันเป็นช่อโต มีความสวยงามตามะรรมชาติ ยาวถึง 30 ซม. ตามปลายกิ่งหรือตามง่ามใบตอนใกล้ๆ ปลายกิ่ง ตรงส่วนบนสุดของดอกตูมจะมีตุ่มกลมเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงกลาง ผิวนอกของกลีบฐานดอกซึ่งติดกันเป็นรูปถ้วยหรือรูปกรวยหงายจะมีสันนูนตามยาวปรากฎชัด และมีขนสั้นปกคลุมประปราย กลีบดอกบาง รูปช้อนที่มีโคนกลีบเป็นก้านเรียว ผิวกลีบเป็นคลื่นๆ บ้างเล็กน้อย เมื่อบานเต็มที่จะมีรัศมีกว้างถึง 5 ซม. รังไข่ กลม เกลี้ยง ผล รูปไข่เกลี้ยงๆ ยาว 2-2.5 ซม.  เมื่อแก่จะแยกออกเป็น 6 เสี่ยง เผยให้เห็นเมล็ดเล็กๆ ที่มีปีกเป็นครีบบางๆ ทางด้านบน

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย

  1. ใบอินทนิล มีรสจืด-ขมฝาดเย็น ใช้ต้มหรือชงกับน้ำร้อน ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือด บรรเทาอาการเบาหวาน ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต
  2. เปลือก  มีรสฝาดขม ต้มกับน้ำรับประทานแก้ไข้และแก้ท้องเสีย
  3. เมล็ด    มีรสขม แก้ดรคเบาหวาน ช่วยให้นอนหลับสบาย
  4. แก่น     มีรสขมใช้ต้มดื่ม รักาาโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ
  5. ราก      มีรสขม ใช้รักาาโรคแผลในปาก

ขอบคุณข้อมูลจาก เว้บ สมุนไพร 200 ชนิด(สมเด็จพระเทพ),หนังสือสมุนไพรใกล้ตัวตู้ยาข้างบ้าน ภาพจากเว็บ skyscrapercity

พ.ย. 272012
 

สวัสดีชาวเว็บไทยสมุนไพร.net ทุกท่าน ห่างหายไปหลายวันเหมือนกัน วันนี้กับมาพบกันอีกพร้อมด้วยสาระดีๆเกี่ยวกับสมุนไพรเช่นเคย วันนี้เองมาแนะนำพืชชนิดหนึ่งให้รู้จักผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยทาน แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่อาจไม่กล้าทานเพราะรสขมของมัน พืชชนิดนั้นคือมะระจีนนั่นเองครับ สำหรับในเรื่องมะระเราเคยนำเสนอไปแล้วในตอน”มะระขี้นก สมุนไพรไทยที่มากกว่าแค่ทานกับน้ำพริก” แต่มะระที่จะพูดถึงในตอนนี้เป็นอีกสายพันธ์ และเป็นมะระที่นิยมทานแพร่หลายกว่า สำหรับสรรพคุณของมะระจีนเป็นอย่างไร เรามารู้จักไปพร้อมๆกันครับ

มะระ หรือ มะระจีนชื่อวิทยาศาสตร์  ของมะระจีน     Momordica charantia

ชื่อในภาษาอังกฤษ  มีหลายชื่อ เช่น balsam apple, balsam pear, bitter cucumber, bitter gourd, bitter melon (ผมชอบชื่อ bitter melon มากครับแปลตรงตามตัวคือแตงขม รู้เลยว่ารสชาติเป็นอย่างไร)

ชื่อวงศ์  Cucurbitaceae (จะสังเกตุว่าเป็นพืชวงศ์เดียวกับกับแตงกวา)

ลักษณะของต้นมะระจีน

  • ลำต้น มะระจีนเป็นพืชเลื้อยลักษณะเป็นเถา มีมือเกาะใช้ยึดพยุงลำต้นให้พันขึ้น
  • ใบ ลักษณะใบจะเป็นใบเดี่ยว สีเขียว มีของหยักๆ รูปคล้ายฝ่ามือ
  • ดอกสีเหลืองมีกลีบดอก 5 กลีบ ดอกเป็นดอกไม่สมบูรณ์เพศ ดอกตัวผู้และตัวเมียอยู่คนละต้น
  • ผล ผลของมะระจีนมีขนาดใหญ่ เนื้อหนา รูปร่างยาว รอบๆผลจะเป็นสันตะปุ่มตะป่ำประมาณ 10 สัน (ลองนับดูได้นะครับว่า 10 สันจริงไหม) ผลอ่อนสีขาว ผลแก่มีสีเขียว

สรรพคุณด้านสมุนไพรในการรักษาโรคเบาหวานของมะระจีน

มะระจีนมีสรรพคุณอยู่มากทีเดียว แต่สรรพคุณที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของมะระจีนคือ มีคุณสมบัติในการบำบัดและรักษาโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้น จากการศึกษาพบว่ามะระจีนจะช่วยเพิ่มเบต้าเซลล์(beta-cell)ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน (insulin Hormone) ที่เป็นฮอร์โมนสำคัญในในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด  และในมะระจีนยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต ซึ่งสรรพคุณเหล่านี้เป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยเบาหวานในระยะเริ่มต้นเป็นอย่างยิ่ง (แนะนำให้รักษาควบคู่ไปกับแพทย์แผนปัจจุบันนะครับ)  สำหรับการใช้ในการรักษา เราจะใช้เนื้อมะระตากแห้งชงน้ำดื่ม หรือเพื่อเพิ่มรสชาติสามารถผสมกับชาอื่นๆได้

สรรพคุณด้านสมุนไพรอื่นๆ

  • ผล  มีฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดดังที่ได้กล่าวไปแล้ว และนอกจากนั้น ยังสามรถใช้ทาภายนอก แก้ผิวหนังแห้ง ลดอาการระคายเคือง ผิวหนังอักเสบ
  • ราก  ตามตำรากล่าวว่ามีฤทธิ์ ฝาดสมาน ใช้รักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก แก้บิด ต้มดื่มแก้ไข้
  • เถา มีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อน แก้บิด
  • เมล็ด มีรสขมใช้ขับพยาธิตัวกลม

ข้อควรระวังในการรับประทานมะระ

ไม่ควรรับประทานมะระทีมีผลสุก  (ปรกติก็ไม่ค่อยมีใครทานอยู่แล้วแต่บอกเผื่อไว้ โดยที่ผลสุกจะออกสีแดง ต่างกับผลแก่ที่เราทานซึ่งมีสีเขียว)  ซึ่งในมะระผลสุกจะทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนจากสารซาโปนิน ซึ่งสารนี้มีพิษต่อร่างกาย และไม่ควรทานมะระมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบาย

ต้มจืดมะระ


เคล็ดลับการลดความขมของมะระ
หวานเป็นลมขมเป็นยา คำนี้ทุกคนรู้ดี แต่ถ้าขมมากๆอาจพาลทำให้ไม่อยากทานเอา สำหรับวิธีการลดความขมของมะระ คือก่อนนำไปประกอบอาหารให้นำมะระแช่กับน้ำเกลือ (อัตราส่วนเกลือ 1 ช้อนชากับน้ำ 1 ลิตร )โดยแช่ทิ้งไว้สัก 20 นาทีแล้วเทน้ำทิ้ง จากนั้นก็แช่น้ำเปล่าอีก 10 นาทีก่อนนำขึ้นมาประกอบอาหาร และที่สำคัญเวลาประกอบอาหารโดยการต้มเช่นแกงจืด ไม่ควรเปิดฝาหรือคน เพราะจะทำให้มะระขม นี่คือเคล็ดลับง่ายๆในการลดความขมของมะระ
พ.ย. 222012
 

หัวข้อของเนื้อหาในตอนนี้อาจยาวไปนิดนึง แต่ยืนยันได้ว่าพืชสมุนไพรไทย อย่างชะอมนั้นสามารถ นำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย โดยเฉพาะเมนูเด็ดอย่างไข่เจียวกับชะอม ที่ไว้ทานคู่กับน้ำพริกกะปิ เมนูนี้อร่อยอย่าบอกใคร สำหรับชะอมนั้นเป็นพืชที่พบเห็นได้ทั่วไป(ตามตลาด) ซึ่งตัวของชะอมนั้นมีคุณค่าดีๆด้านสมุนไพรอยู่มาก รวมถึงคุณค่าทางด้านโภชนาการที่หลากหลาย ลองมารู้จักกับชะอมไปพร้อมๆกันนะครับ

ชะอมชื่อทางวิทยาศาสตร์   Acacia Pennata (L.) Willd.Subsp.InsuavisNielsen

ชื่อวงศ์           Fabaceae

ชื่อทั่วไป        ชะอม หรือ Acacia pennata

ชื่ออื่นๆของชะอม   ผักหละ ผักลำ ผ้าห้า ผักป่า ผักแก่ ผักขา

ลักษณะของต้นชะอม

  •  ลำต้น ชะอมเป็นไม้พุ่มขนาดย่อมไม่สูงมาก แต่เคยมีพบการพบชะอมในป่า ลักษณะเป็นต้นไม้ใหญ่ วัดเส้นรอบวงของลำต้นได้ 1.2 เมตร กิ่งก้านของชะอมมีหนามแหลม
  •  ใบ ลักษณะ เป็นใบประกอบขนาดเล็ก มีก้านใบแยกเป็นใบอยู่  2 ทาง ลักษณะคล้ายใบกระถิน (แยกได้โดยการสังเกตุดีๆหรือดมกลิ่น)  ใบอ่อนมีกลิ่น ฉุนคล้ายกลิ่นลูกสะตอแต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียวนะครับ ใบเรียงแบบสลับใบย่อย ออกตรง ข้ามกัน ใบย่อรูปรี มีประมาณ 13-28 คู่ ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม ส่วนที่มักนำไปทานก็คือใบออ่นหรือยอกของชะอมนั่นเอง
  • ดอก ชะอมจะออกที่ซอกกิ่ง สีขาวหรือขาวนวล ดอกขนาดเล็กและเห็นชัด เฉพาะเกสรตัวผู้ที่เป็นฝอยๆ
  •  ผล เป็นฝัก มีขนาดเล็กกว่าฝักกระถิน

คุณค่าทางโภชนาการของชะอม
ชะอมเแป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่จัดว่าไม่เบาเลยทีเดียว โดยยอดชะอม 100 กรัม ให้สารอาหารต่างๆดังนี้

  • ให้พลังงานกับร่างกาย   57 กิโลแคลอรี่
  • มีเส้นใย ซึ่งมีส่วนช่วยระบบขับถ่ายอยู่ 5.7 กรัม
  • มีแคลแซียมซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงกระดูกและฟันอยู่ 58 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัสซึ่งช่วยให้วิตามินบีต่างๆทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพซึ่งมีอยู่ถึง 80 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็กซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเม็ดเลือด บำรุงโลหิต    4.1 มิลลิกรัม
  • มีวิตามินต่างๆดังนี้  วิตามินเอ(บำรุงสายตา) 10066 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัมวิตามินบีสอง 0.25 มิลลิกรัม ในอาซิน 1.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 58 มิลลิกรัม

คุณค่าทางด้านสมุนไพรไทย

ใบชะอม (เน้นที่ใบหรือยอดอ่อน)   สามารถช่วยลดความร้อนในร่างกายได้

รากชะอม   หากนำมาต้มรับประทาน  จะช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ลดกรด จุกเสียดแน่นท้องและขับลมในกระเพาะอาหาร

ข้อควรระวังเล็กๆน้อยๆในการรับประทานชะอม

ผักชะอมในช่วงหน้าฝน จะมีรสเปรี้ยว กลิ่นฉุนมาก บางครั้งหากรับประทานเข้าไปอาจทำให้ปวดท้องและสำหรับคุณแม่ลูกอ่อนแนะนำว่าไม่ควรรับประทาน เพราะจะทำให้น้ำนมแห้งได้

พ.ย. 202012
 

ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ชอบทานน้ำพริกกะปิมาก ด้วยรสชาติที่อร่อย และสามารถทานกับอาหารได้หลายอย่าง อาทิเช่น ปลาทู ไข่เจียว หรือถ้าเป็นผักก็ทานได้หลายชนิด แต่มีผักอยู่ชนิดหนึ่งที่เรียกได้ว่าขาดกันไม่ได้เลย นั่นก็คือ มะเขือยาวพระเอกของเรื่องในวันนี้นั่นเอง (คงพอนึกภาพออกนะครับที่ก่อนทานเขาจะนำมะเขือยาวไปชุบกับไข่ทอดให้เหลืองฟู ไว้ทานกับน้ำพริกกะปิ ) สำหรับคุณค่าของมะเขือยาวนั้นนับว่ามีอยู่มากทีเดียวทั้งด้านโภชนาการและด้านสมุนไพร เรามารู้จักกับเจ้ามะเขือยาวไปพร้อมๆกันนะครับ

มะเขือยาวชื่อทางวิทยาศาสตร์    SO-LANUM MELONGENA LINN.

ชื่อวงศ์    SOLA-NACEAE

ลักษณะของมะเขือยาว

  • ลำต้น   มะเขือยาวจัดเป็นไม้ล้มลุก ลำต้นสูงประมาณ1 เมตร ลำต้นเดี่ยว แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น กิ่งอ่อนมักมีขนละเอียดปกคลุมทั่วและมักมีหนามขนาดเล็ก
  • ใบ  เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปค่อนข้างกลม ปลายแหลม โคนใบเบี้ยว ขอบใบหยักหรือเป็นคลื่น ท้องใบมีขนนุ่ม ผิวใบสีเขียวสด
  • ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อ 3-5 ดอก มีกลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแหลม ดอกเป็นสีม่วง กลางดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน เกสรตัวเมีย 1 อันอยู่ติดกับกลีบดอก ก้านเกสรและอับเกสรเป็นสีเหลือง
  • ผล รูปกลมยาว มี 2 พันธุ์คือพันธุ์ที่มาีผลเป็นสีเขียว กับ พันธุ์ที่ผลเป็นสีม่วง ผิวผลเรียบเกลี้ยงและเป็นมัน ขั้วผลมีกลีบเลี้ยงสีเขียวติดอยู่ เวลาติดผลดกและผลยาวห้อยลงจะดูสวยงามทั้งสีเขียวและสีม่วง โดยมะเขือยาวเองจะติดผลตลอดปี เรียกว่าหากปลูกแล้วมีให้ทานตลอด

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือยาว

อย่างที่บอกไป ว่ามะเขือยาวมีคุรค่าทางโภชนาการหลายอย่าง เช่น คาร์โบไฮเดรต ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย เส้นใยอาหาร ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย โปรตีนช่วยในการเจริญเติบโตซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ  แคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน  ฟอสฟอรัส ช่วยให้วิตามินบีต่าง ๆทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  ธาตุเหล็ก เป็นส่วนสำคัญของเม็ดเลือด  โพแทสเซียม ช่วยในเรื่องการควบคุมความดันโลหิต     นอกจากนั้นยังมี   วิตามินA วิตามิน B2 วิตามินC

ที่กล่าวไปข้างต้นเป้นแค่ส่วนหนึ่งนอกจากนั้น มะเขือยาวยังมีสารไกลโคอัลคาลอยด์ (Glycoalkaloid)  สารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า เทอร์ปิน (terpene) เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยรักษาหลอดเลือดหัวใจให้เป้นปรกติ ป้องกันโรคความดันโลหิตสุง ลดอาการบวม และช่วยขับปัสสาวะได้

สรรพคุณทางสมุนไพรไทยของมะเขือยาว

ลำต้นและราก แก้บิดเรื้อรัง อุจจาระเป็นเลือด* แผลอักเสบ

ใบ แก้ปัสสาวะขัด  พอกแผลบวมเป็นหนอง

ผลแห้ง ทำเป็นยาเม็ดกินแก้ปวด แก้ตกเลือดในลำไส้* ขับเสมหะ ผลสด ตำพอกแผลอักเสบมีหนอง

ขั้วผลแห้ง เผาเป็นเถ้าบดให้ละเอียดกินเป็นยาแก้ตกเลือดในลำไส้*

*สำหรับอาการอุจจาระมีเลือดปนมีสาเหตุการเกิดได้หลายสาเหตุ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันนะครับ

ทั้งหมดนี้คือคุณค่าดีๆของพืชผักสมุนไพร ที่ชื่อว่ามะเขือยาว ที่เรานำมาฝากกัน ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สสส.(สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ) ,หนังสืออาณาจักรพืชผัก สมุนไพรสร้างสมอง

 

 

พ.ย. 172012
 

ถ้าหลายคนติดตามเว็บนี้มาเป็นประจำคงจำกันได้นะครับ ว่าผมเคยเขียนเรื่องกระเจี๊ยบไว้ในตอน “กระเจี๊ยบ สมุนไพรสีสดใส รสชาติถูกใจ“แต่กระเจี๊ยบที่ผมพูดถึงในตอนนั้นคือกระเจี๊ยบแดง ซึ่งส่วนใหญ่คนมักจะนำไปเป็นเครื่องดื่ม แต่ยังมีกระเจี๊ยบอีกชนิดหนึ่งที่ผมยังไม่ได้พูดถึงนั่นคือกระเจี๊ยบเขียว นั่นเอง สำหรับกระเจี๊ยบเขียวในบ้านเราจะนิยมนำไปลวกจิ้มกับน้ำพริก เชื่อว่าหลายคนก็คงก็เคยทาน ตามตลาดร้านที่ขายน้ำพริกผักลวกก็มีให้เห็นบ่อยๆ ยังไงก็ลองหาทานกันดูนะครับ เพราะนอกจากรสชาติจะดีแล้ว ยังมีสรรพคุณด้านสมุนไพรอีกมากเลยทีเดียว ก่อนที่จะบอกว่ากระเจี๊ยบเขียวมีสรรพคุณอะไร ขอแนะนำชื่อเสียงเรียงนามและลักษณะของพืชชนิดนี้ก่อนนะครับกระเจี๊ยบเขียว

ชื่อทั่วไป  กระเจี๊ยบเขียว หรือ  Lady ‘ s Finger (แปลตรงตัวคือเล็บมือนางนั่นเอง แต่ต้นเล็บมือนางของไทยเป็นอีกต้นหนึ่งนะครับ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Abelmoschus esculentus Moench.

ชื่อวงศ์   MALVACEAE

ชื่ออื่น กระเจี๊ยบมอญ กระเจี๊ยบ มะเขือมื่น ส้มพม่า มะเขือหวาย มะเขือมอญ มะเขือพม่า มะเขือละโว้ กระต้าด ถั่วเละ กระเจี๊ยบขาว

 ลักษณะของกระเจี๊ยบเขียว

  • ลำต้น  มีขนหยาบและมีความสูงประมาณ 1-2  เมตร
  • ใบ       ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว คล้ายฝ่ามือเรียงสลับกัน และมีขนหยาบ
  • ดอก   มีสีเหลือง ที่โคนกลีบด้านในมีสีม่วงออกแดง ออกตามซอกใบ ก้านชูเรณูรวมกันเป็นลักษณะคล้ายหลอด
  • ฝัก      คล้ายนิ้วมือผู้หญิง (ดังชื่อในภาษาอังกฤษ) ตามฝักมีขนอ่อนๆทั่วฝัก มีสันเป็นเหลี่ยมตามยาว 5 เหลี่ยม ฝักกระเจี๊ยบมีทรงยาวสีเขียว ฝักอ่อนมีรสชาติหวานกรอบอร่อย ส่วนฝักแก่จะมีเนื้อเหนียว

การนำกระเจี๊ยบเขียวไปประกอบอาหาร

กระเจี๊ยบเขียวนอกจากใช้ลวกจิ้มเป็นเครื่องเคียงกับน้ำพริก ยังใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด  เช่น  แกงส้ม  แกงใส่ปลาย่าง  สุดแต่จะนำไปประยุกต์ สำหรับคนไม่เคย รับประทาน กระเจี๊ยบเขียว อาจจะรับประทานได้ยากกันสักหน่อย  เพราะ ฝักของมัน ข้างในจะมี ยางเมือก ๆ หุ้มเมล็ดอยู่ แต่ทานบ่อยๆจะชินเอง คนสมัยก่อนนิยมเอาไป ต้ม หรือ ต้มราดกะทิสด (การราดกระทิสดบนผักเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งในการดึงวิตามินที่ละลายในไขมันได้ให้ออกมาจากผักให้ร่างกายดูดซึมให้ใช้ได้ง่ายยิ่งขึ้น) กระเจี๊ยบเขียวหากกินกับ น้ำพริกกะปิ ปลาทู จะให้รสชาติที่ดีมากๆ ลองทานดูได้นะครับ

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย
กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่มีคุณสรรพคุณด้านสมุนไพรในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้  รักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง มีสรรพคุณเป็นยาระบายและสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย แต่ต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย15วัน(แต่ข้อนี้ผมแนะนำให้ใช้ยาแผนปัจจุบันมากกว่า)

นอกจากนั้นยังมีสูตรการทานกระเจี๊ยบเขียวเป็นยาสมุนไพรต่างๆดังนี้

รับประทานฝักกระเจี๊ยบ 10 -15 ฝัก ตอนเย็นหรือก่อนนอน สามารถ ลดอาการท้องผูก
รับประทาน 3 – 5 ฝัก ก่อนอาหาร ทุกวัน สามารถ รักษา แผลในกระเพาะอาหาร
รับประทาน 10 – 15 ฝัก ทุกวัน สามารถ บำรุงตับ
รับประทาน 5 ฝัก ก่อนอาหาร 3 มื้อ ติดต่อกันทุกวัน สามารถ กำจัด พยาธิตัวจี๊ด
รับประทาน 30 – 40 ฝัก ตอนเย็น หรือ ก่อนนอน สามารถ ดีท็อกซ์ลำไส้ ขับสารพิษ อุจจาระตกค้าง

คุณค่าทางโภขนาการของกระเจี๊ยบเขียว    

กรเจี๊ยบเขียวเส้นมีใยอาหารตามธรรมชาติ ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย  มีแคลเซียมช่วยในการบำรุงกระดูกและฟัน และยังมี วิตามินต่างๆสูง และนอกจากนั้นยังมีโฟเลตสูง ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง บำรุงสมอง และจำเป็นต่อทารกในครรภ์

 

 

มังคุด ผลไม้สมุนไพร ใช้ได้แม้เปลือก

 ช่วยสมานแผล, แก้ท้องเสีย ท้องร่วง  ปิดความเห็น บน มังคุด ผลไม้สมุนไพร ใช้ได้แม้เปลือก
พ.ย. 142012
 

วันนี้เรามาพูดถึงผลไม้ ที่ใช้เป็นยาสมุนไพรไทยกันบ้าง และผลไม้สมุนไพรชนิดที่เราจะพูดถึงในวันนี้ ผมว่าทุกคนคงรู้จักและเคยทาน  ผลไม้ชนิดนี้มีรสชาติที่หอมหวาน และเนื้อในที่ขาวเนียนซึ่งถูกซ่อนเอาไว้ในเปลือกหนาสีแดงอมม่วง พูดลักษณะมาแบบนี้หลายคนคงนึกออกแล้วใช่ไหม ว่าผมพูดถึงอะไร แน่นอนสิ่งที่ผมพูดถึงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก “มังคุด” นั่นเอง

ก่อนเข้าสู่เนื้อหา ผมขอถามทุกคนก่อนว่าสำหรับมังคุดนั้น เวลาทาน เราจะทานกันยังไง ? หลายคนอาจบอก ก็แกะเปลือกทานเนื้อข้างในสิ ไม่น่าถามเลย!!! ก็ถูกครับผมไม่เถียง แล้วถ้าผมถามต่อว่าล่ะว่า แล้วเปลือกมังคุดที่แกะออกมาล่ะ ทำไงกับมันต่อ หลายคนก็คงจะตอบผมทันทีว่า ก็ทิ้งสิ จะเก็บไว้ทำไม ทานก็ไม่ได้ !!! ก็ถูกอีกครับ ถูกตรงที่ทานไม่ได้ แต่ถ้าเป็นด้านสมุนไพรไทย แล้วนับว่าน่าเสียดายมากที่จะทิ้งเปลือกมังคุด เพราะส่วนเปลือกเป็นส่วนที่จะใช้เป็นยาสมุนไพรได้มากที่สุด ก่อนที่เราจะพูดถึงต่อไปว่าเปลือกมังคุดเอาไปทำยาสมุนไพรอะไรได้บ้าง  เรามารู้จักลักษณะของมังคุดกันก่อนดีกว่านะครับ

มังคุดชื่อวิทยาศาสตร์  Garcinia mangostana Linn.

ชื่อโดยทั่วไป      มังคุด  หรือ  mangosteen   มังคุดคล้ายกับมะม่วงยังไงใครรู้ช่วยบอกที ? ทำไมในชื่อภาษาอังกฤษต้องมีคำว่ามะม่วง (mango)นำหน้าชื่อ

ชื่ออื่นๆของมังคุด  แมงคุด ,เมงค็อฟ

ลักษณะของมังคุด

  • ลำต้น มังคุดเป็นไม้ยืนต้น สูง 10-12 เมตร  ลำต้นตรง เปลือกลำต้นภายนอกมีสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ ภายในเปลือกประกอบด้วยท่อน้ำยาง มีน้ำยางสีเหลือง (โดนเสื้อผ้าแล้วซักออกยากมาก)
  • ใบ ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงกันข้าม รูปไข่หรือรูปวงรี มีขอบขนาน กว้าง 6-12 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15-25 เซนติเมตร เนื้อใบหนาและค่อนข้างเหนียวคล้ายหนัง หลังใบสีเขียวเข้มลักษณะเป็นมัน ท้องใบจะมีสีอ่อนกว่า
  • ดอก ลักษณะดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นคู่โดยจะออกที่ซอกใบ ใกล้ปลายกิ่ง เป็นดอกสมบูรณ์เพศหรือแยกเพศ กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลืองโดยจะติดอยู่จนเป็นผล(ดังที่เราเห็นกลีบสีเขียวติดอยู่ที่ผลมังคุดที่วางขาย) กลีบดอกมีสีแดง ลักษณะฉ่ำน้ำ
  • ผล ลักษณะผลสด ค่อนข้างกลม เปลือกนอกค่อนข้างแข็ง แก่เต็มที่มีสีม่วงแดง มียางสีเหลือง(แบบเดียวกับลำต้น) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-6 เซนติเมตร เนื้อในมีสีขาวฉ่ำน้ำ อาจมีเมล็ดอยู่ในเนื้อผลได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของผล จำนวนกลีบของเนื้อจะเท่ากับจำนวนกลีบดอกที่อยู่ด้านล่างของเปลือก (อันนี้ผมเคยเล่นทายกับเพื่อนโดยทายจำนวนเนื้อมังคุดของแต่ผลมีกี่กลับ ไอ้เพื่อนเราก็งงว่าเรารู้ได้ไง ลองเอาไปเล่นทายดูได้นะครับ สังเกตุจากกลีบดอกด้านล่างตามที่บอกไป)
คุณค่าทางโภชนาการ   นักโภชนาการได้ศึกษาจนพบว่าในมังคุด 100 กรัม ให้พลังงาน 76 แคลอรี โปรตีน 0.5 กรัม คาร์โบไฮเดรท 18.4 กรัม ใยอาหาร 1.7 กรัม แคลเซียม 11 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 17 มิลลิกรัม เหล็ก 0.9 มิลิลกรัม วิตามินบี1 0.09 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.06 มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.01 มิลลิกรัม  นับว่าเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่ามากทีเดียว
สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยจากมังคุด
ในที่สุดก็ถึงหัวข้อหลักของบทความนี้ ดังที่กล่วไว้ในตอนต้นว่าสรรพคุณด้านสมุนไพรของมังคุด จะอยู่ที่เปลือกมาดูกันว่าเปลือกมังคุดมีสรรพคุณอะไรบ้าง
  1. รักษาโรคท้องเสียเรื้อรัง และโรคลำไส้  โดยมีสูตรยาสมุนไพรคือ ใช้เปลือกมังคุดครึ่งผล (ประมาณ 4-5 กรัม) ต้มกับน้ำรับประทานครั้งละ 1 แก้ว
  2. รักษาอาการท้องเดิน ท้องร่วง โดยมีสูตรยาสมุนไพรคือ ใช้เปลือกมังคุ ต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำรับประทาน ดดยมีขนาดรับประทานอยู่ที่ เด็กให้รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชาทุก 4 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะทุก 4 ชั่วโมง
  3. รักษาแผลน้ำกัดเท้า แผลพุพอง (ปีนี้ไหนน้ำท่วมอีก คงได้ใช้สูตรนี้ แต่ยังไงขอให้ไม่ท่วมจะดีกว่า) สูตรสมุนไพรนี้จะใช้เปลือกผลสดหรือแห้ง ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้นๆ พอสมควร ทาแผลน้ำกัดเท้า แผลพุพอง วันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ก่อนที่จะทา ควรล้างเท้าฟอกสบู่ให้สะอาด ถ้ามีแอลกลอฮอร์เช็ดแผลควรเช็ดก่อน)  สาเหตุที่เปลือกของมังคุดสามรถรักษาแผลได้เพราะในเปลือก  มีสาร คือแทนนิน (tannin) ทำให้แผลหายเร็ว ช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองได้ดี
เป็นยังไงบ้างครับกับสรรพคุณของมังคุด พออ่านจบแล้วบางท่านอยากจะลองนำไปใช้ดูก็ไม่ว่ากันนะครับ
ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก thai wikipedia  หนังสือ สมุนไพรก้อนครัว
พ.ย. 112012
 

เวลาสั่งอาหารตามสั่ง หนึ่งในเมนูที่ผมชอบคือ หมูผัดพริกไทยอ่อน เวลาทานข้ามต้ม ก็อดไม่ได้ที่จะเหยาะพริกไทยลงไป จริงๆรสชาติของพริกไทยป็นรสชาติที่ถูกปากผม และผมก็เชื่อว่าหลายๆคนก็ชอบรสชาตินี้ นอกจากรสชาติของพริกไทยที่ช่วยเพิ่มความอร่อยให้แก่อาหารแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยคือ สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยของพริกไทย วันนี้ผมเองก็มีเรื่องราวดีๆของพริกไทยมาฝากทุกท่าน

มารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของพริกไทยกันก่อน

พริกไทยชื่อโดยทั่วไป พริกไทย หรือ   Pepper
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Piper nigrum Linn.
ชื่อวงศ์ Piperraceae
ชื่อตามภูมิภาค   พริกน้อย (ภาคเหนือ) พริก (ภาคใต้) พริกไทยดำ พริกไทยล่อน  พริกขี้นก (ภาคกลาง)

ลักษณะของต้นพริกไทย

เมื่อเรารู้จักกับชื่อต่างๆของพริกไทยแล้วคราวนี้ก็มาถึงลักษณะของต้นพริกไทยกันบ้าง  เชื่อนะครับว่าทุกคนเคยเห็นพริกไทยเม็ด พริกไทยออ่น แต่ถ้าต้นพริกไทยผมว่าน้อยคนนักจะได้เห็น เรามาดูลักษณะของต้นพริกไทยกันเลยครับ

  • ลำต้น  เป็นไม้เลื้อย มีความสูงประมาณ 5 เมตร ลักษณะของลำต้นเป็นข้อๆ พริกไทยถือว่าเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืน
  • ราก    รากของต้นพริกไทยมักเกิดบริเวณข้อ ตามลำต้นเป็นรากเล็กๆ โดยจะใช้ช่วยยึดเกาะ และมีรากที่อยู่ในดินขนาดใหญ่ประมาณสามถึงหกราก และรากฝอยแตกออก
  • ใบ      ลักษณะใบจะมีสีเขียวสด ใบใหญ่คล้ายใบโพ
  • ดอก  ของพริกไทยจะมีขนาดเล็ก จะออกช่อตามข้อเป็นพวง
  • เมล็ด จะมีลักษณะกลมติดกันเป็นพวง ดังที่เราเห็นในพริกไทยอ่อนบนจานผัดเผ็ด

คุณค่าทางด้านโภชนาการของพริกไทย   ในพริกไทยนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการหลายประการ อาทิเช่น

  1. พริกไทยนั้นมีแคลเซียมในปริมาณที่สูงมาก โดยเฉพาะในพริกไทยอ่อน ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงอยู่เสมอ และแคลซียม ยังสามารถป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนได้อีกด้วย
  2. พริกไทยมี ฟอสฟอรัส, วิตามินซี  ซึ่งวิตามินซีนั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชลอกการเสื่อมสภาพของเซลล์ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
  3. มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการมองเห็น
  4. มีสารที่ชื่อว่า ไปเปอรีน และ ฟินอลิกส์  ซึ่งทั้งคู่เป็นสารต้านอนุูมูลอิสระ มีสรรพคุณในการป้องกันมะเร็ง

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย

นอกจากคุณค่าทางด้านโภชนาการแล้ว พริกไทยยังมีคุณค่าทางด้านสมุนไพรไทยอีกหลายประการ โดยพอจะแยกเป็นสรรพคุณของแต่ละส่วนดังต่อไปนี้

  • ดอก  มีการระบุในตำราสมุนไพรไทยว่ามีสรรพคุณ แก้ตาแดงเนื่องจากความดันโลหิตสูง
  • เมล็ด มีสรรพคุณในการใช้เป้นยาช่วยย่อยอาหาร ขับสารพิษตกค้าง ขับเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ แก้ระดูขาว
  • ใบ ในใบพริกไทยมีสรรพคุณ แก้จุกเสียด แก้ปวดมวนท้อง
  • เถา ใช้ขับเสมหะ แก้ท้องร่วงอย่างรุนแรง และท้องเดินหลายๆครั้ง
  • ราก ใช้ขับลมในลำไส้ แก้ปวดท้อง วิงเวียน ช่วยย่อยอาหาร และเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย
  • น้ำมันหอมระเหย ในน้ำมันหอมระเหยจากพริกไทยนั้น สามรถช่วยแก้หวัด ทำให้จมูกโล่ง นอกจจากนี้ยังใช้ลดน้ำหนัก นำมาทานวดตามร่างกายในส่วนที่ต้องการลดได้ และนอกจากนี้พริกไทย ยังมีคุณสมบัติในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด จึงนิยมนำมาถนอมอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เช่นไส้กรอก กุนเชียง หมอยอ ซึ่งจะมีพริกไทยเป็นส่วนผสม

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของพืชสมุนไพรไทยที่ชื่อพริกไทย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดของเครื่องเทศสมุนไพร

ขอบคุณข้อมูลจาก thai wiki และหนังสืออาณาจักรพืชผัก สมุนไพรสร้างสมอง

 

พ.ย. 102012
 

จริงๆแล้วเมืองไทยนั้นอุดมไปด้วยพืชผักผลไม้ มากมาย บางอย่างเดินไปตลาดก็ซื้อหาจับจ่ายมาทานกันได้แล้ว แต่บางอย่างแทบไม่ต้องไปตลาดเลย แค่เดินไปริมรั้วก็สามารถเด็ดมาทานได้ง่ายๆ และพืชผักสมุนไพรไทย ที่เราจะพูดถึงในวันนี้ก็อยู่ในประเภทที่ว่าเดินไปริมรั้ว ก็สามารถเด็ดทานได้ พืชชนิดนั้นก็คือ ผักตำลึงนั่นเองครับ

สำหรับตำลึงนั้นเป็นพืชที่แพร่พันธ์ได้ง่าย มีอยู่ทุกภูมิภาคของเมืองไทย เรียกว่าไปที่ไหนก็มีให้เห็น สามรถนำมาประกอบเป็นอาหารได้หลากหลาย ยกตัวอย่างก็ได้ตั้งแต่ใส่ต้มจืด ผัดหมูสับใส่ตำลึง แม้แต่กระทั่งเวลาลวกมาม่าตอนสิ้นเดือน ที่กระเป๋าเริ่มแบน ก็ได้เจ้าตำลึงนี่แหละที่เพิ่มคุณค่าทางอาหาร แต่นอกจากประโยชน์ในด้านการประกอบอาหารแล้ว ตำลึงยังมีสรรพคุณทางด้านสมุนไทยอีกมากที่เราอาจยังไม่รู้ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเจ้าตำลึงกันนะครับ

ตำลึง ผักตำลึงชื่อทั่วไป    ตำลึง หรือ Lvy Gourd, Coccinia

ชื่อทางวิทยาศาสตร์   Cocconia grandis (L.) Voigt

ชื่ออื่น ๆ   ผักแคบ (ทางภาคเหนือ), แคเด๊าะ (เผ่ากะเหรี่ยงและในแม่ฮองสอน), สี่บาท (ภาคกลาง ยังจำที่ครูให้ท่องกันได้ไหม หนึ่งตำลึงเท่ากับสี่บาท), ผักตำนิน (ภาคอีสาน)

ลักษณะทั่วไปของตำลึง

  • ลำต้น ตำลึงเป็นไม้เลื้อย มีมือจับเพื่อเอาไว้ยึดเกาะหลักเช่นแนวรั้ว อย่างที่เราเห็น หรือยึดเกาะต้นไม้ต่างๆ เถาตำลึงจะเป็นสีเขียว
  • ใบ ส่วนใบของตำลึงเป็นใบเดี่ยว สลับกันไปมาตามเถา ลักษณะใบจะเป็น เป็น 3 แฉก หรือบางที  5 แฉก ขนาดประมาณ 4-8 ซม. โคนใบมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจ
  • ดอก ลักษณะดอกของตำลึง เป็นดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ มีสีขาว มีทั้งออกดอกเดี่ยวๆ และออกเป็นกลุ่มสองถึงสามดอกก็มี
  • ผล  มีรูปร่างคล้ายแตงกวา แต่มีขนาดเล็กกว่าผลแตงกวา ในขณะที่เป็นผลอ่อนจะเป็นผลสีเขียวมีลายสีขาว พอสุกจะกลายเป็นสีแดงสด

คุณค่าทางโภชนาการของตำลึง

ในใบสีเขียวของตำลึง อุดมไปด้วยวิตามินวิตามินเอ ช่วยในการมองเห็น มีเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือด มี fiber หรือกากใยอาหารที่ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย นอกจากนี้ในตำลึง ยังมีแคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย

จากตำรายาด้านสมุนไพร มีการระบุถึงสรรพคุณของตำลึงโดยแยกเป็นส่วนต่างๆ ของตำลึงไว้ดังนี้

  • ใบ ใช้เป็นยาเขียว ใช้ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ (อันนี้เป็นสำนวนของคนโบราณหมายถึงบรรเทาอาการไข้ตัวร้อน)  เป็นยาพอกรักษาผิวหนัง รักษาผื่นคันที่เกิดจาก หมามุ่ย ตำแย(หรือพืชอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการคัน แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้จุกเฉียด  แก้แมลงสัตว์กัดต่อย
  • ดอก สรรพคุณใช้บรรเทาอาการคันผิวหนังได้
  • เมล็ด ใช้ผสมกับน้ำมันมะพร้าวทาแก้หิดได้ (หิดเป็นโรคที่เกิดจากปรสิตที่เรียกว่าตัวหิด หรือ Scabies miteไชเข้าผิวหนังทำให้เกิดตุ่มคัน)
  • ราก ลดไข้ อาเจียน ลดความอ้วน ฝนทาภายนอก แก้ฝีต่างๆ แก้ปวดบวม แก้พิษร้อนใน แก้พิษแมลงป่องหรือตะขาบข่อย(อันนี้ถ้าโดนแนะนำให้หาหมอนะครับ)
  • เถา ใช้ชงกับน้ำดื่มแก้อาการวิงเวียนศรีษะ เป็นยาทาพอกแก้โรคผิวหนัง มีสรรพคุณลดไข้เช่นเดียวกับใบ ลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ทั้งต้น (ราก ใบ เถา) นำมาเป็นยารักษาแก้โรคผิวหนัง ลดระดับน้ำตาลในเลือด แก้หลอดลมอักเสบ กำจัดกลิ่นตัว

สูตรยาสมุนไพรไทยจากตำลึง

1. สูตรยาถอนพิษ (จากพืช ที่ทำให้เกิดอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน) ใช้ใบสดตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำ ทาบรเวณที่ถูกพิษ ปวดแสบปวดร้อน จะสามารถบรรเทาอาการลงได้

อาหารที่ทำจากผักตำลึง2. สูตรยาช่วยย่อยอาหาร จำพวกคาร์โบไฮเดรต  ใช้ยอดอ่อน และใบ ปรุงเป็นอาหาร จะสามรถช่วยระบบย่อยอาหารให้ดีขึ้นได้

3.สูตรยารักษา อาการแพ้ อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย ใช้ใบสดหนึ่งกำมือ ล้างให้สะอาด แล้วนำมาตำให้ละเอียด โดยผสมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นน้ำจากใบมาทาบริเวณที่มีอาการ พอน้ำแห้งแล้วทาซ้ำจนกว่าอาการจะบรรเทา

ทั้งหมดนี้คือประโยชน์จากตำลึง พืชสมุนไพรข้างรั้วที่บางครั้งเราอาจมองข้ามมันไป