ชุบชีวิต เสื้อผ้าเก่า ด้วยดอกอัญชัญ

 ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทย, สูตรยาสมุนไพร  ปิดความเห็น บน ชุบชีวิต เสื้อผ้าเก่า ด้วยดอกอัญชัญ
เม.ย. 152013
 

สวัสดีครับ ชาว ไทยสมุนไพร.net ทุกท่าน วันนี้ขอฉีกแนวนิดนึง คือทุกครั้งจะเป็นเรื่องราวของสมุนไพร ที่ใช้ในการรักษาโรค คราวนี้มาในแนวสมุนไพร กับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายบ้าง อย่าพึ่งงงครับว่าเกี่ยวข้องกันยังไง และอย่าพึ่งตกใจไป ผมไม่ได้มาแนะนำให้เอาใบ สมุนไพร มาตัดเย็บเป็นชุดสวมใส่เหมือนนางไม้ แต่สำหรับเรื่องที่จะมาเล่ากันในวันนี้ เป็นการทำให้เสื้อตัวเก่าที่ดูจืด เช่นเสื้อขาว ที่ใส่ไปนานๆแล้วหมอง (หรือจะใช้เทคนิคนี้กับเสื้อใหม่ก็ได้) มาทำเป็นเสื้อมัดย้อมสีสันสดใส โดยไม่ใช้สารเคมีใดๆ แต่เป็นการใช้สมุนไพรล้วนๆ

ยังไงก็ขอบคุณไอเดียดีดี เนื้อหา และภาพประกอบ จากหนังสือ SOOK (หาซื้อได้ที่ 7-Eleven วางแผงทุกวันที่ 28)

สิ่งที่ต้องเตรียม

ผ้ามัดย้อม1.ดอกอัญชัญ สมุนไพรบ้านๆที่หาได้ทั่วไป

2.เสื้อผ้าที่ต้องการย้อม

3.ผ้าขาวบาง จะบางน้อยหรือบางมากก็ไม่เป็นไร

4.หนังยางหรือเชือกฟาง

5.น้ำ                6. เกลือ

วิธีการทำ

ขั้นตอนการทำผ้ามัดย้อม

– ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้ละลาย จากนั้นใส่ดอกอัญชัญลงไป ต้มจนได้สีน้ำเงินเข้ม

– ตักดอกอัญชัญออก

-นำผ้าหรือเสื้อที่ต้องการมัดย้อมมามัดด้วยหนังยางหรือเชือกฟางให้แน่น ขั้นตอนนี้จะมัดแบบไหนก้ตามใจ เพราะลวดลายมันขึ้นอยู่กับการมัดของเรา ถ้านึกไม่ออก ก็จับเสื้อทบครึ่งตามยาว และมัดเป็นปล้องสักสองปล้องก็ได้ แต่ที่สำคํญมัดแน่นเข้าไว้

-นำผ้าหรือเสื้อที่มัดไว้ ลงแช่สักสองหรือสามชั่วโมง ขั้นตอนนี้อย่าแกะหนังยางหรือเชือกออก เพื่อกันไม่ให้น้ำสีหลุดติดตรงที่เรามัดไว้

เสื้อจากดอกอันชัน

-แกะหนังยางหรือเชือกฟาง ออกแล้ว นำผ้าไปแช่น้ำเกลือ สัก หนึงชั่วโมง จากนั้นนำไปซักกับน้ำเปล่า จนสีไม่ตก

-ตากให้แห้ง แค่นี้คุณก็จะได้เสื้อตัวใหม่สวยไม่ซ้ำใครแล้ว

ใครจะลองทำดูก็ไม่เสียหลายนะครับวัสดุก็หาได้ใกล้ๆตัว แถมผลงานที่ทำออกมายังแนวไม่เหมือนใครอีก  ไว้โอกาศหน้าจะหาเรื่องราวดีๆมาเล่าให้ฟังอักนะครับ

 

ผักผลไม้ 5 สี มีดีอย่างไร

 ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทย  ปิดความเห็น บน ผักผลไม้ 5 สี มีดีอย่างไร
พ.ย. 052012
 

วันนี้ผมเองได้มีโอกาศพาคุณแฟน ไปทานสุกี้้ด้วยกันที่ร้านแห่งหนึ่ง ขอไม่ระบุชื่อร้าน เพราะไม่ได้ค่าโฆษณา แต่ถ้าท่านเจ้าของร้านอักษรย่อ ฮ.พ.อยากให้ระบุก็บอกนะครับ ไม่คิดเงิน แค่ทานฟรีสัก 1 ปี  ชักจะไหลลงทะเลไปเรื่อยเข้าเรื่องดีกว่า ที่ผมเกริ่นมาแบบนี้ไม่ได้จะรีวิวอาหารแต่อย่างใดเพราะคงไม่เกี่ยวกับเว็บด้านสมุนไพรอย่างเว็บเรา แต่สิ่งที่เกี่ยวเป็นเรื่องของกระดาษรองจาน ใช่ครับผมพูดไม่ผิด คือว่ากระดาษรองจานของที่ร้านนี้ได้ทำขึ้นมาเป็นพิเศษซึ่งได้พูดถึงคุณประโยชน์ของ “ผักผลไม้ 5 สี” เห็นแล้วน่าสนใจดีจึงได้หาข้อมูลเพิ่มเติม    แต่จริงๆผมว่าคำว่าผักผลไม้ 5 สี หลายคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วล่ะ โดยเฉพาะในช่วงหนึ่งที่บริษัทขายตรงรายใหญ่ ได้เอาเรื่องนี้มาโฆษณา แต่เพื่อความกระจ่างและความชัดเจนมากยิ่งขึ้น วันนี้เรามาเรียนรู้ไปด้วยกันนะครับ ว่า..พืชผักผลไม้ 5 สีมีดีอย่างไร ? และทำไมต้อง 5 สี 7สีได้ไหม? ทุกคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เรามีคำตอบครับผักและผลไม้5สี

Q: ทำไมต้อง 5 สี (5สี มีที่มาอย่างไร)

A: จริงๆก็ไม่ได้มีอะไรมากครับ คือมีคนได้ลองจัดกลุ่มของผัก ผลไม้ที่พบในชีวิตประจำวัน พบว่าหากจัดเป็นกลุ่ม ตามสีภายนอก จะได้กลุ่มหลักใหญ่ๆทั้งหมด 5 กลุ่มอันได้แก่ สีแดง สีขาว สีเหลือง(ส้ม) สีขียว และสีม่วง จึงเป็นที่มาของขบวนการ 5 สีโกเรนเจอร์ แต่ถามว่าสีอื่นๆล่ะมีไหม ตอบว่ามีครับแต่จะถูกจัดเข้ากลุ่มสีอื่นๆโดยปริยาย เช่น สีดำ ซึ่งไม่ค่อยจะมีพรรคมีพวก ก็จะถูกจัดไปอยู่กับสีม่วง แต่มันก็เป็นส่วนน้อยจริงๆ ดังนั้นจึงจัดได้กลุ่มใหญ่ๆเป็น 5 สี แถมแต่ละสีเมื่อศึกษาลงลึกไปอีกจะพบว่ามีสารอาหาร หรือแร่ธาตุที่แตกต่างกัน

Q:แต่ละสี มีสารอาหารอะไรบ้าง และมีคุณค่าในด้านสมุนไพรอย่างไร

A: แตกต่างครับ ถ้าจะตอบคงยาวแต่เพื่อแฟนๆเว็บเรา เราทำได้อยู่แล้วผมจะขอไล่ทีละสีนะครับ

ผักและผลไม้ที่มีสีแดงสีแดง พืชผักผลไม้ที่มีสีแดงก็พวก แอปเปิ้ล สตอรเบอรี่  ซึ่งจะมีมีสารแอนโธโซยานิน (anthocyanin) และมีเม็ดสีในกลุ่มฟลาวนอยด์ จึงทำให้ผลไม้เหล่านี้มีสีแดงสดใสน่ารับประทาน และนอกจากนั้นยังมีสารไลโคปีน(lycopene)ซึ่งมีคุณสมบัติด้านสมุนไพรสำคัญคือ  ช่วยยั้บยั้งและป้องกัน การเกิดมะเร็ง ในต่อมลูกหมากได้   และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์  ช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง  ให้วิตามินซีสูง ช่วยป้องกัโรคเลือดออกตามไรฟัน  ช่วย ระบบขับถ่าย ปัสสาวะอักเสบ  และช่วยในเรื่องความจำ

สีเขียว สีนี้พบมากที่สุดโดยเฉพาะในผักต่างๆ เช่นพวกผักคะน้า ผลไม้ที่ทานได้ทั้งเปลือกเช่นฝรั่ง ชมพู่เขียว โดยจะมีสารออกฤทธิ์ในพืช เช่น ลูทีนผักและผลไม้ที่มีสีเขียว (lutein) อินโคเลส ซีแซนทีน และวิตามินเค รวมทั้งมีคลอโรฟิล (chlorophyll)ซึ่งสารเหล่านี้มีสรรพคุณด้านสมุนไพรที่สำคัญคือทำหน้าที่ในการจับออกซิเจนเพื่อพาไปยังเนื้อเยื่อหรือเซลล์ต่างๆในร่างกาย  ช่วยในการสร้างพลังงาน ช่วยกำจัดสารตกค้างในร่างกาย ลดการสะสมของสารพิษ  บำรุงสายตา

ผักและผลไม้ที่มีสีม่วงสีน้ำเงินหรือม่วง ถ้าในยกตัวอย่างในผักก็พวกกะหล่ำม่วง องุ่น โดยจะมีแอนโธไซยานิน (anthocyanin) และ ฟิโนลิค (phenolic) สรพพคุณด้านสมุนไพรคือช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมของเซลล์ เสริมสร้างการทำงานของสมอง ลดการอักเสบของผิว และแอนดีออกซิเดนท์จับสารอนุมูลอิสระ มีอัลฟาและเบต้าแคโรทีน ป้องกันมะเร็ง และเสริมสร้างวิตามินซี และสารฟลาวโวนอยด์ ป้องกันมะเร็ง และหลอดเลือดหัวใจ
ลดความเสี่ยงต่อการโรคหัวใจ มะเร็ง และอัลไซเมอร์  ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายปัสสาวะ ช่วยเรื่องความจำ  ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์  ช่วยในการมองเห็น  และยังสามารถป้องกันมะเร็งบางชนิด

สีขาว จะพบได้ในผักบางชนิดเช่นผักกาดขาว  ผลไม้ที่มีเนื้อสีขาว ยกตัวอย่างก็พวกมังคุด ลำไย กล้วย อุดมไปด้วย อัลลิซีน (allicin) ซึ่งจะช่วยผักและผลไม้ที่มีสีขาวยับยั้งการเกิดมะเร็งบางชนิด  ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย  ลดคอเลสเตอรอล และยังควบคุมความดันเลือด

ผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองสีหลืองหรือสีส้ม เอาแบบเห็นชัดหน่อยก็พวกแครอท ส้ม โดยพืชพวกนี้ มีเบต้าแคโรทีน( beta carotene )และเบต้าคริพโทแซนทิน (beta cryptoxanthin)ในระดับที่สูงสูง เมื่อเข้าสู่ร่างกาย แล้วจะแปรเปลี่ยนเป็น วิตามินเอ ซึ่งมีสารแคโรทีนนอยด์ (carotenoid)  ช่วยบำรุงสายตา  ช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดและลำไส้ เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท  ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันประสาทตาเสื่อม ช่วยบำรุงผิวพรรณ

Q:ถ้าพืชมีสองสีในหนึ่งเดียวล่ะจะนับว่าพืชชนิดนั้นเป็นพืชสมุนไพรในกลุ่มสีอะไร

A:  ผักหรือผลไม้เขาจะแบ่งสีโดยนับที่ส่วนที่กินได้ครับ เช่นลิ้นจี่เปลือกสีแดง แต่เนื้อในขาว อันนี้จะถูกจัดเป็นสีขาวนะครับไม่ใช่สีแดงเหมือนพวกสตอร์เบอรี่  หรือแตงโมเปลือกเขียวแต่เนื้อแดงก็ถูกจัดเป็นสีแดง แต่ถ้าก้ำกึ่งเช่นฝรั่ง เนื้อในมีสีขาว เปลือกสีเขียวก็จะถูกจัดเป็นทั้งสองสี เข้าได้กับทุกขั้วการเมือง

Q: จำเป็นหรือไม่ที่ทุกมื้อต้องทานให้ได้ 5 สี เพราะเห็นหลายคนบอกว่าจำเป็น

A:  ตอบแบบวิชาการหน่อยคือทำได้ก็ดี แต่ถ้าตอบแบบความเป็นจริงคือทุกคนคงทำได้ยาก ที่มื้อหนึ่งเราจะทานผักผลไม้ครบ 5 สี ฉะนั้นไม่ต้องคิดมาก ถึงขนาดต้องไปซื้ออาหารเสริมสารสกัด5สี มาทาน ทานมื้อนี้ได้สีเขียวกับขาว มื้อหน้าได้สีเหลือง วันมะรืนได้สีแดง อันนี้ผมก็ถือว่าโอเคแล้ว ค่อยๆสะสมไปเหมือนสะสมแสตมป์เซเว่น เดี๋ยวก็ครบ 400 ดวงแลกเก้าอี้ได้ เอ๊ยไม่ใช่เดี๋ยวก็ได้คุณค่าครบถ้วนเอง หลักการทานง่ายๆที่ทำให้ได้สารอาหารครบถ้วนที่อยากฝากไว้คือคือ “ทานอาหารให้หลากหลาย” ลองชิมของแปลกๆใหม่ๆบ้าง จะดีต่อชีวิตเรา ไม่ใช่รู้ว่าส้มดี จะทานแต่ส้มทุกมื้อ ต้องหาอะไรมาสับเปลี่ยนบ้าง ไม่งั้นพืชผักสมุนไพรอื่นๆน้อยใจแย่เลย

เป็นไงครับกับบทความในวันนี้ ถ้าชอบก็กดไลค์หรือ comment กันมาได้นะครับ ผมสัญญาจะผลิตบทความดีๆด้านสมุนไพรมาให้ทุกคนติดตามเรื่อยๆ

ขอขอบคุณภาพประกอบสวยๆจาก www.rainbowcolors.org  , wikipedia , และกระดาษรองจานร้านสุกี้อักษรย่อ ฮ.พ. ที่ให้แรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้  หากท่านใดประสงค์นำบทความนี้ไปลงที่ web อื่น ผมไม่หวง แต่รบกวนใส่ลิ้งค์กลับมาที่  http://ไทยสมุนไพร.net  ด้วยนะครับ

 

ที่สุดแห่งสมุนไพรล้างสารพิษ 15 ชนิด:ตอนที่ 2

 ขับสารพิษในร่างกาย, ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทย  ปิดความเห็น บน ที่สุดแห่งสมุนไพรล้างสารพิษ 15 ชนิด:ตอนที่ 2
ต.ค. 312012
 

จากตอนที่แล้ว (ที่สุดแห่งสมุนไพรล้างสารพิษ 15 ชนิด:ตอนที่ 1) ที่ได้กล่าวถึงสมุนไพรที่ใช้ล้างสารพิษเจ็ดชนิดแรกไป วันนี้จึงขอต่อในส่วนที่สองซึ่งเป็นสมุนไพร ที่มีประโยชน์ไม่แพ้สมุนไพรที่ได้กล่าวถึงในตอนที่แล้ว มาดูกันเลยครับ

กระเจี๊ยบเขียว8. กระเจี๊ยบเขียว  กระเจี๊ยบเขียวนั้นเป็นสมุนไพรไทย ที่จัดได้ว่ามีเส้นใยที่มีคุณสมบัติในการละลายน้ำ ช่วยดูดซับสารพิษที่ขับถ่ายออกมาได้เป็นอย่างดี ทำให้ไม่เหลือสารพิาตกค้างในลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน ลดระดับคอเรสเตอรอล มีส่วนป้องกันมะเร็ง มีสารที่ช่วยขับพยาธิตัวจี๊ด รักษาโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ นอกจากนั้น ในกระเจี๊ยบเขียวยังมีแคลเซียม ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน  ประโยชน์เยอะดีไหม ลองหามาทานดูได้นะครับ ส่วนใหญ่เขสนิยมนำมาลวกเป็นผักทานกับน้ำพริก

9.มะเขือพวง เป็นสมุนไพรที่จัดว่า มีวิตามินซีสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีไฟเบอร์ช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร ช่วยจับไขมันอิ่มตัว และกำจัดของมะเขือพวงเสียออกจากระบบขับถ่ายด้วยเป็นอย่างดี  รู้คุณค่าอย่างนี้แล้ว เวลาทานน้ำพริกกระปิ หรือพวกแพนง ก็อย่าตักมะเขือพวงทิ้งนะครับ

แอปเปิ้ล10.แอปเปิ้ล ตัวแอปเปิ้ลนั้นจัดว่าเป็นผลไม้ที่หาทานได้ง่าย มีคุณสมบัติในการขจัดของเสียออกนอกร่างกาย มีเส้นใยมากช่วยทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย และแอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่

11.ทับทิม  ทับทิมนั้นเป็นพืชสมุนไพร ที่มีไฟเบอร์สูง มีสารแอสไพริน ซึ่งช่วยรักษาอาการอักเสบและแก้ปวด ช่วยในทับทิม สมุนไพรไทยกระบานการขับถ้่ายของเสีย ช่วยล้างสารพิษ และลดการติดเชื้อภายในร่างกายได้ (สนใจเรื่องราวของทับทิมแบบละเอียด อ่านได้ที่บทความ  “ทับทิม ผลไม้สมุนไพร มากประโยชน์“)

มะละกอ12.มะละกอ ในมะละกอนั้นมีเอนไซม์ปาเปน ช่วยทำให้ของเสียที่อยู่ในรูปของโปรตีนแตกตัวเร็ว ช่วยทำความสะอาดลำไส้ และมีส่วนในการช่วยย่อยอาหาร  สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับมะลอกอมีอีกมาก ลองอ่านดูในบทความนี้ดูนะครับ “มะละกอ มากคุณค่า แต่มาจากแดนไกล

13.แตงโม สำหรับแตงโมในทางสมุนไพรไทยแล้วนั้น มีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ ฟอกล้างร่างกาย ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันโลหิตได้แตงโม ทำให้สบายท้อง อ้ออีกอย่างเปลือกแตงโมอุดมด้วยครอโรฟิลล์ และเมล็ดแตงโม มีวิตามินมากอีกด้วย

 

มะขามป้อม14.มะขามป้อม มะขามป้อมนั้นเป็นพืชที่มีวิตามินซีสูงมากมาก ซึ่งวิตามินซีจัดว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ ]ลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง  อีกทั้งมะขามป้อมยังเป็นยาแก้ไอ แก้กระหายน้ำ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ  และที่สำคัญที่สุดในการล้างสารพิษ มะขามป้อมนั้นมีงานวิจัยว่าสามารถแก้พิษของสารตะกั่วได้ สำหรับสรรพคุณด้านอื่นๆของมะขามป้อมยังมีอีกมาก อ่านเพิ่มเติมได้ที่ บทความ “มะขามป้อม ชุ่มคอ ชื่นใจ

15.รางจืด และแล้วก็มาถึงพืชสมุนไพรล้างสารพิษชนิดสุดท้าย นั่นก็คือรางจืดนั่นเองรางจืดครับ รางจืดมีคุณสมบัติที่โดเด่นมากในการทำลายพิษยาฆ่าแมลง พิษจากสตริกนิน พิษจากสารเคมีและยาเบื่อชนิดต่างๆ นับว่าเป้นพืชที่อยู่ในกระแสความนิยม จนมีผู้นำไปสกัดเป็นยาสมุนไพร หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพต่างๆเป็นจำนวนมาก  ลองดูข้อมูลของรางจืดเพิ่มเติมที่บทความนี้นะครับ “รางจืด สมุนไพรไทยขับสารพิษ

ทั้งหมดนี้ก็คือสาระดีๆที่เรานำมาฝาก ติดตามเรื่องดีดี ที่เกี่ยวกับสมุนไพรได้ที่นี่เป็นประจำนะครับ อ้อเกือบลืม บทความนี้นำข้อมูลมาจากหนังสือ กินแล้วไม่ป่วย โดยคุณเชิญสิริ เป็นผู้เขียน และนำมาการเรียบเรียงเพิ่มเติมเนื้อหาใหม่โดย “ไทยสมุนไพร.net”ใครที่นำไปเผยแพร่ต่อรบกวนอย่าลืมลงเครดิต และใส่ link กลับมาที่  http://ไทยสมุนไพร.net ด้วยนะครับ

 

ที่สุดแห่งสมุนไพรล้างสารพิษ 15 ชนิด:ตอนที่ 1

 ขับสารพิษในร่างกาย, ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทย  ปิดความเห็น บน ที่สุดแห่งสมุนไพรล้างสารพิษ 15 ชนิด:ตอนที่ 1
ต.ค. 302012
 

วันนี้ทาง เว็บ ไทยสมุนไพร.net มีเรื่องราวดีๆของสมุนไพร ต่างๆมาฝากเช่นเคย แต่สำหรับคราวนี้พิเศษหน่อย เพราะมีสมุนไพรไทย ดีๆมาฝากถึง 15 ชนิด(มากที่สุดเป็นประวัติการ) ซึ่งทั้ง 15 ชนิดนี้เรียกได้ว่าเป็น สุดยอดแห่งสมุนไพรล้างสารพิษเลยก็ว่าได้
แต่ก่อนอื่น ขออธิบายนิดนึง เผื่อใครยังไม่ชัดเจนว่าสารพิษที่ผมกล่าวไปในย่อหน้าแรก มันมีอะไรบ้าง จริงๆมันก็มีหลายอย่างนะครับ ยิ่งวิถีชีวิตของคนไทยทุกวันนี้ยิ่งมีโอกาศเผชิญกับสารพิษมากขึ้น ง่ายๆ  แค่ออกจากบ้าน ไปตามท้องถนน มลภาวะเช่นควันจากไอเสียก็ถือว่าเป็นสารพิษอย่างหนึ่ง อาหารการกินก็เหมือนกัน ไหนจะยาฆ่าแมลงจากผักต่างๆ ไหนจะโลหะหนักตามอาหารทะเล  พวกสารตกค้างเหล่านี้ก็ถือเป็นสารพิษเหมือนกัน  ในสถานที่ทำงานก็ด้วย ใครที่ได้ทำงานหรือใช้ชีวิต ในภาคอุตสาหกรรมเหมือนอย่างผมเอง ก็คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่ามีการใช้สารเคมีมากมายหลายชนิด ทั้งหมดเลยเป็นที่มาของบทความวันนี้

เพื่อไม่ให้เสียเวลามาลองดูกันเลยนะครับว่ามีสมุนไพรอะไรบ้าง ซึ่งสมุนไพรหลายชนิดที่เคยเขียนไว้แล้วผมก็จะไม่ลงรายละเอียดมาก และเพื่อไม่ให้เนื้อหายาวจนน่าเบื่อ ขอณุญาตแบ่งบทความนี้เป็นสองตอนนะครับ

ผักหวาน1. ผักหวานบ้าน เคยทานกันบ้างไหมครับ (แถมบ้านผู้เขียนเอง มีเมนูสูดรเด็ด แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง อร่อยมากๆ) ซึ่งผักหวานมีสรรพคุณช่วยแก้พิษ แถมยังสามรถรักษาผดผื่นคันตราผิวหนัง รักษาคางทูม ปวดท้อง ขับลมในกระเพาะไดด้เป็นอย่างดี แถมยังใช้บำรุงเส้นผม บำรุงน้ำนมของคุณแม่หลังคลอดได้อีกด้วย นับว่านอกจากเรื่องสารพิษแล้วยังมีประโยชน์อีกเพียบ

ย่านาง2.ย่านาง  โดยสรุปย่านางเองเป้นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ล้างสารพิษ ปวดท้องจากการทานอาหารผิดสำแดง นอกจากนั้นบางสูตรยังมีการใช้รักษา งูสวัด แก้ผมผื่นคัน บำรุงร่างกายอีกด้วย ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ เช่นเครื่องดื่มสมุนไพรจากน่ายางมาขายอยู่บ้าง แต่จริงๆการคั้นเอาน้ำมาไว้ทานเองก็ไม่ได้ยุ่งยากแต่ประการใด

สมอไทย3.สมอไทย สมุนไพรไทยชนิดนี้มีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษ ออกจากร่างกาย และนอกจากนั้นยังรักษาโรคหลายชนิด ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย (โดยมีสารแทนนินที่อยู่ในนั้นเป็นตัวชูโรง ) ใช้แก้จุกเสียดแน่นท้อง รักษาโรคเหงือกและฟัน แถมยังเป็นยาระบายอ่อนๆได้ดีอีกด้วย

4.หัวหอม(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง “หอม สมุนไพรไทยที่ไม่ใช่แค่โรยหน้า “) โดยหัวหอมมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก ใช้ต่อต้านมะเร็งหลายชนิด ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับของคอเรสเตอรอลในร่งกาย ซึ่งสามรถป้องกันโรคหัวใจได้ นอกจากนั้นยังช่วยรักษาโรคหอบหืด โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และโรคเบาหวาน

มะนาว

5.มะนาว  ซึ่งมะนาวนั้นเป็นสมุนไพรที่มีวิตามินซีสูง ช่วยขับสารพิษจากตับ ว่ากันว่า การดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นหลังตื่นนอน จะช่วยล้างสารพิษในเลือดได้(ระเด็นนี้อาขต้องรองานวิจัยเพิ่มเติมก่อนนะครับ) นอกจากนั้นการดื่มน้ำมะนาวสดผสมโยเกิร์ตและน้ำผึ่ง ยังสามารถ ล้างพิาในลำไส้ป้องกันท้องผูกได้อีกด้วย (อย่าลืมว่าระบบขับถ่ายก็เป้นรูปแบบการขจัดสารพิษในร่างกายอีกหนึ่งรูปแบบ)  อ้อเกือบลืมใครว่างๆ ก็คลิ๊กเข้าไปดูวีดีโอความรู้เกี่ยวกับมะนาวได้ที่  วีดีโอเรื่อง สมุนไพรใกล้ตัว ตอน มะกรูด มะนาว

ขึ้นฉ่าย6.ขึ้นฉ่าย ในขึ้นฉ่ายนั้นมีสารต้านมะเร็ง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดความดันโลหิต และบางงานวิจัยบอกว่ามีส่วนช่วยขับของเสียจากบุหรี่ หรือคนที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย (แต่อย่าคิดว่าสูบบุหรี่แล้วทานขึ้นฉ่ายตามจะปลอดภัยจากโรคต่างๆนะครับ การขับสารพิษขับทำได้แค่บางส่วน การงด การเลิกสูบุหรี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่สุดเพื่อสุขภาพ อย่าคิดว่ามันเลิกยากของแบบนี้อยู่ที่ใจเรามากกว่า พ่อของผู้เขียนท่านสูบบุหรี่มาเกือบ 30 ปี ท่านยังเลิกได้ภายในสัปดาห์เดียว

กะหล่ำปลี ลักษณะใบของกะหล่ำปลี หรือที่คนชอบเรียก ดอกกะหล่ำ7.กะหล่ำ มีสารต้านอนุมุล อิสระช่วยต่อต้านมะเร็งได้ และยังช่วยตับขับฮอร์โมนทีมากเกินไป โดยเฉพาะฮอร์โมนความเครียดที่มีผลต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและป้องกันโรคกระเพาะอาหารได้ด้วย (อ่านเรื่องราวของกะหล่ำได้ที่บทความ ” กะหล่ำปลี พืชดีๆที่ควรรู้จัก” )

ตอนแรกขอนำเสนอแค่เจ็ดชนิดก่อนนะครับ เดี๋ยวมาต่อกันกับสมุนไพรไทยอีกแปดชนิดที่เหลือกัน ในตอนหน้านะครับ
  • บทความนี้นำข้อมูลมาจากหนังสือ กินแล้วไม่ป่วย โดยคุณเชิญสิริ เป็นผู้เขียน และนำมาการเรียบเรียงเพิ่มเติมเนื้อหาใหม่โดย “ไทยสมุนไพร.net”ใครที่นำไปเผยแพร่ต่อรบกวนอย่าลืมลงเครดิต และใส่ link กลับมาที่  http://ไทยสมุนไพร.net ด้วยนะครับหากใครไม่ทำตามจะไม่มีการฟ้องร้องใดใด แต่แค่จะใช้วิธีการแบบไทยไทยคือการแช่งให้ท้องเสียแค่นั้นเอง

ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ผลไม้ไทยที่ให้คุณค่าสูง

 ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทย  ปิดความเห็น บน ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ผลไม้ไทยที่ให้คุณค่าสูง
ก.ย. 302012
 

ผลไม้ไทย อุดมไปด้วย สารต้านอนุมูลอิสระ                  ผมอยากให้ทุกคนหันมาทานผลไม้ครับ เพราะมีผลไม้มากมายที่พวกเราควรรับประทานให้มากและบ่อย ขอย้ำอีกครั้งว่ามากและบ่อย สาเหตุเพราะป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุหลายๆชนิดซึ่ งเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ที่จะทำให้มีสุขภาพทีดี เช่น ใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายและนำสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย และที่สำคัญผลไม้เหล่านี้มักจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ หรือแอนติออกซิแด้ท์ (antioxidant)  ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและร่างกายเราอย่างมาก  ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเองช่วย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคอื่นๆอีกมาก

เพิ่มเติมข้อมูลอีกนิด   สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) คือ เป็นสารที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้พวกอนุมูลอิสระก่อตัวขึ้น โดยจะทำการยับยั้งปฏิกิริยาลูกโซ่ของอนุมูลอิสระ และหยุดการก่อตัวใหม่ของอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากตัวอนุมูลอิสระที่ไปทำลายเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งช่วยกำจัดและแทนที่โมเลกุลที่ถูกทำลาย

ปัจจุบันนักวิจัยให้หันมาศึกษาวิจัยผลไม้ไทยที่เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มสมุนไพรไทยเป็อย่างมาก โดยนำไปวิจัยโดยกระบวนการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้น (ตรงนี้พูดรวมไปถึงสมุนไพรไทยต่างๆด้วย)ทำให้คนไทยได้ตะหนักถึงคุณประโยชน์ของผลไม้ไทย และใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงย่างเข้าสู่การเริ่มต้นเปลี่ยนฤดูกาล ถ้าไม่รู้จักดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงเข้าไว้   การเจ็บไข้ได้ป่วยมาเยือนทันที แต่ก็นับว่าเป็นความโชคดีของคนไทย ที่เกิดมาในดินแดนที่มีภูมิประเทศอันอุดมสมบูรณ์ มีผลไม้ได้รับประทานกันทั้งปี พูดมาซะยาววันนี้ผมเลยจะมาแนะนำ 6 ผลไม้ ที่อุดมไปด้วยสารอนุมูลอิสระ


1. ฝรั่ง ผมเคยพูดถึงผรั่งไปแล้วในแง่ของสมุนไพรไทย ไปตามอ่านกันได้ที่ตอน ฝรั่ง ผลไม้หาทานง่าย ได้ประโยชน์

ฝรั่ง

อะไรที่พูดแล้วจะไม่พูดซ้ำ แต่จะพูดถึงในแง่ของสารต้านอนุมูลอิสระแล้วกันนะครับ    ฝรั่งนั้นเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี   สูงมากจนน่าทึ่ง  (141- 156 มิลลิกรัม/100 กรัม) มากกว่าส้มถึง 5 เท่า  และฝรั่งยังอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งทั้งวิตามินซี และเบต้าแคโรทีน ต่างก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันอันตรายต่อเซลล์ และป้องกันหลอดเลือดอุดตัน พร้อมทั้งโพแทสเซียมที่ทำให้ความดันเลือดเป็นปรกติ นอกจากคุณค่าที่มากแล้วข้อดีของฝรั่งอีกอย่างคือ ราคาถูกนั้นเองครับ

2.มันเทศ (บ้านผมเรียกมันแกว)  พูดถึงมันเทศนั้น ยอดมันเทศมีสารต่างๆที่เป็นประโยชน์อยู่มากเช่น

– ฟีลอลิค Phenolic 429.19 มก.   สารประกอบฟีนอลิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวหนึ่งสามารถมีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคหัวใจขาดเลือด และมะเร็ง

– แทนนิน 90.23 มก.  แทนนิน มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย และเชื้อราได้ ใช้เป็นยา แก้ท้องร่วง แก้บิด สมานแผล แผลเปื่อย

โดยรวมมันเทศมี ดรรชนีแอนติออกซิแด้นท์ที่  2.32

3.มะกอก (ที่ไม่ใช่มะเหงก) มะกอกเป็นพืชสมุนไพรตัวหนึ่งที่คนไทยนิยมปลูก ให้ผลดก สามรถทำเป็นน้ำมันนมะกอกได้ อย่างน้อยคนที่เคยทานส้มตำปูปราร้า ต้องเคยใส่มะกอกบ้างแหละ มะกอกมีสารต่างที่มีคุณค่าดังนี้

– ฟีลอลิค Phenolic 712.85 มก.

– แทนนิน 123.18  มก.

และมีวิตามินซี 17.62 มก. มีค่าดรรชนีต้านแอนติออกซแดนท์ที่ 2.12


4.มะขาม พืชสมุนไพรไทย ตัวนี้ไม่ขอแยะยำมากเพราะ เคยเขียนเรื่องของมะขามในแง่สมุนไพรไว้

แล้ว ลองตามอ่านที่ มะขาม ผลไม้สมุนไพรมากคุณค่า  แต่จะขอสรุปสารต่างๆที่มะขามมีดังนี้

– ฟีลอลิค Phenolic 120.90 มก.

– แทนนิน 77.03  มก.

มีค่าดรรชนีต้านแอนติออกซแดนท์ที่ 1.26

5.มะตูม แต่ก่อนนั้นยอดมะตูมถือเป็นผักร่วมสำหรับอาหาร แต่เดี๋ยวนี้คงพบเห็นได้น้อยแล้ว แต่ที่เราคุ้นเคยจะเป็นในรูปของ น้ำมะตูม หรือชามะตูมมากกว่า ไม้งั้นก็ผลิตภัณฑ์จากมะตูมที่แปลรูปแล้ว (ตามร้าน OTOP)

แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปไหนมะตูมก็มีคุณค่าในตัวมันเอง โดยที่มะตูมมีค่าของดัชนีต้านดรรชนีอนมูลอิสระ หรือดรรชนีแอนติออกซิแด้นท์ (antioxidant Index)  ถึง 6.10

6.ฟักทองเป็นทั้งผัก และผลไม้ที่เรารู้จักกันดี ขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ผมก็กำลังทานสังขยาฟักทองไปด้วย

สำหรับคุณค่ามนการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของฟักทองนั้นตัวหลักเลยคือวิตามินซี มีสูงถึง 24.78 มก.

-มีค่าดรรชนีต้านแอนติออกซแดนท์ที่ 1.00

ทั้งหมดนี้คือ ผลไม้สมุนไพรไทย 6 อย่าง ที่ผมนำมาฝาก จริงๆแล้วพวกผักหลายตัวก็มีสาร แอนติออกซิแดนท์เหมือนกันนะครับ ไว้จะเล่าให้ฟังวันหลัง  อย่าลืมทานผลไม้เยอะๆนะครับ  อุดหนุนเกษตรกรไทยด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือ Herb&Healthly Vol4. และ สารานุกรมอาหาร www.foodworksolution.com

 

 

 

 

ข้อจำกัดในการใช้สมุนไพร

 ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทย  ปิดความเห็น บน ข้อจำกัดในการใช้สมุนไพร
ก.ย. 302012
 

สมุนไพรไทยนับว่ามีประโยชน์อยู่มากมาย หากนำมาใช้อย่างถูกวิธี แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อจำกัด โรคบางโรคอาการบางอาการ ก็ไม่ควรใช้สมุนไพร บทความวันนี้จึงขอนำเสนออีกแง่หนึ่ง เพราะการที่เราจะใช้อะไรนั้น เราต้องศึกษาถึงประโยชน์และข้อจำกัดของมันให้ถ้วนถี่

ข้อห้ามการใช้สมุนไพรอาการหรือโรคใดบ้างไม่ควรใช้สมุนไพรไทย(นำส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน)


1.  เด็กอายุ 0-12 ปีถ้ามีอาการ ไข้สูง ไอมาก หรือหายใจมีเสียงผิดปกติ เหมือนกับมีอะไรติดอยู่ในลำคอ บางทีก็มีอาการหน้าเขียวด้วย (เป็นอาการของโรคโรคคอตีบ)นำส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษากับแพทย์ทันที
2.  อาการเลือดออกสดๆ ตกเลือด หรือเป็นลิ่มเลือด จากทางไหนก็ตาม โดยเฉพาะทางช่องคลอด ให้พาไปพบแพทย์ทันที่ การเสียเลือดในปริมาณที่มากเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้
3. มีไข้สูง ตัวร้อนจัด ตาแดง ปวดเมื่อยมาก ซึม บางทีพูดเพ้อ สับสน ไม่ได้สติ อาจเป็นอาการของไข้หวัดใหญ่หรือไข้ป่าชนิดขึ้นสมอง
2.  ไข้สูงและดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง) อ่อนเพลียมาก อาจเจ็บในแถวชายโครง อาจเป็นเกี่ยวกับตับเช่น โรคตับอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ฯลฯ
3.  มีอาการปวดแถวสะดือ เวลาเอามือกดเจ็บปวดมากขึ้น หน้าท้องแข็ง อาจท้องผูกและมีไข้ (อาจเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ หรือลำไส้อักเสบ)
7.  ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด บางทีไม่มีเนื้ออุจจาระเลย ถ่ายบ่อยมาก อาจมากถึง 10 ครั้งต่อชั่วโมง อ่อนเพลียมาก (อาจเป็นโรคบิดชนิดรุนแรง)
4.  มีอาการเจ็บแปลบในท้องคล้ายมีอะไรฉีกขาด ปวดท้องรุนแรงมาก อาจมีอาการตัวร้อนและคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย บางคนมีประวัติปวดท้องบ่อยๆ มาก่อน (อาจมีการทะลุของกระเพาะอาหารหรือลำไส้ทะลุ)
5.  อาเจียนเป็นเลือด หรือไอเป็นเลือด (อาจเป็นโรคร้ายแรงของกระเพาะอาหารหรือปอด) ต้องให้คนไข้นอนพักนิ่งๆ ก่อน ถ้าแพทย์อยู่ใกล้ควรเชิญมาตรวจที่บ้าน (กรณีเหตุด่วนฉุกเฉิน เราสามรถขอความช่วยเหลือ ที่หมายเลข 1669) ถ้าจำเป็นต้องพาไปพบแพทย์ ควรรอให้เลือดหยุดเสียก่อน และควรพาไปโดยวิธีการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด
6.  ท้องเดินอย่างแรง  อุจจาระเป็นน้ำ บางทีมีลักษณะคล้ายน้ำซาวข้าว บางทีถ่ายพุ่ง ถ่ายติดต่อกันอย่างรวดเร็ว คนไข้อ่อนเพลียมาก ตาลึก หนังแห้ง (อาจเป็นโรคอหิวาตกโรค) ต้องพาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

เมื่อรู้จัดฃกอาการที่ไม่ควรใช้สมุนไพรแล้ว คราวนี้มาดูอาการที่สามารถใช้สมุนไพรได้บ้าง

กลุ่มหรือโรคที่สามารถใช้สมุนไพรไทยรักษาได้กลุ่มโรค/อาการเบื้องต้นที่สมารถใช้สมุนไพรมี 18 กลุ่มโรคหรืออาการ ดังนี้
–  อาการคลื่นไส้ อาเจียน สาเหตุเช่นมาจากการพักผ่อน เมารถ เวียนศรีษะ
–  อาการไอ ขับเสมหะ
–  อาการไข้
–  อาการขัดเบา (คือปัสสาวะขัด ปัสสาวะกะปริบกะปรอยแต่ไม่มีอาการบวม)
–  อาการท้องผูก
–  อาการท้องอึดอัด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด
–  อาการท้องเสีย ชนิดที่ไม่รุนแรง-  โรคกลาก
–  โรคเกลื้อน
–  อาการนอนไม่หลับ อาจเกิดจากความเครียด แนะนำให้ใช้การนั่งสมาธิ ฟังเพลง ดูหนัง เพื่อผ่อนคลาย ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง เข้าร่วมด้วย
–  ฝี แผลพุพอง เฉพาะภายนอกเท่านั้น
–  รเคล็ดขัดยอก เฉพาะภายนอกเท่านั้น
–  อาการแพ้ อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย (ยกเว้นงูกัด)
–  แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
–  เหา
–  ชันนะตุ
–  พยาธิลำไส้
–  บิด

อาการเหล่านี้สามรถใช้สมุนไพรได้  และต้องหยุดใช้เมื่ออาการหายไป แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นภายในสองถึงสามวัน ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักาต่อไป     

ขอขอบคุณ http://www.rspg.or.th/ สำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ยิ่ง

ความหมาย และความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสมุนไพรไทย

 ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทย  ปิดความเห็น บน ความหมาย และความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสมุนไพรไทย
ก.ย. 222012
 

สมุนไพรไทย หมายถึง สมุนไพรของไทยที่มีสรรพคุณ ในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่าง ๆ

ความหมายของสมุนไพรไทย

–  และการที่นำเอาสมุนไพร ตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป มาผสมรวมกัน ซึ่งจะเรียกว่า “ยา”

– ในตำรับยา นอกจากพืชสมุนไพรแล้ว ยังอาจประกอบด้วยสัตว์ และ แร่ธาตุอีกด้วย เราเรียกพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบ    ของยานี้ว่า “เภสัชวัตถุ” เช่น เกลือ

– พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น กระวาน จันทน์เทศ หรือกานพลู  เป็นพืชที่มีกลิ่นหอมและมีรสเผ็ดร้อน ใช้เป็นยาสำหรับขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ พืชเหล่านี้ถ้านำมาปรุงอาหารเราจะเรียกว่า “เครื่องเทศ”

 

“พืชสมุนไพร” หรือวัตถุธาตุนี้ หรือตัวยาสมุนไพร จำแนกออกเป็น 5 ลักษณะคือ

1. รูป หมายถึงลักษณะภายนอกเช่น  เปลือก แก่น กระพี้  ราก เมล็ด ใบ ดอก

2. สี มองแล้วเห็นว่าเป็นสีอะไรเช่น สีเหลือง สีแดง สีส้ม สีม่วง สีน้ำตาล สีดำ

3. กลิ่น ให้สามรถรับรู้ได้ว่ามีกลิ่น กลิ่นหอม กลิ่นฉุน  หรือกลิ่นอย่างไร

4. รส ให้รู้ว่ามีรสอย่างไร รสขม รสเค็ม รสหวาน รสเปรี้ยว  รสจืด รสฝาด รสเย็น

5. ชื่อ ต้องรู้ว่พืชสมุนไพรนั้นมีชื่อว่าอะไร  เช่นรู้ว่า กระชายเป็นอย่างไร ใบหนาดเป็นอย่างไร

ส่วนต่างๆของพืชที่ใช้เป็นพืชสมุนไพรทีมีการนำมาใช้ประโยชน์

ส่วนต่างๆของพืชสมุนไพร

1. ราก รากของพืชมีมากมายหลายชนิดเอามาเป็นยาสมุนไพรได้อย่างดี เช่น กระชาย ขมิ้นชัน ขิง ข่า เร่ว ขมิ้นอ้อย เป็นต้น รูปร่างและลักษณะของราก แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1.1 รากแก้ว ต้นพืชมากมายหลายชนิดมีรากแก้วอยู่นับ ว่าเป็นรากที่สำคัญมากงอกออกจาลำต้นส่วนปลายรูปร่างยาวใหญ่ เป็นรูปกรวยด้านข้างของรากแก้วจะแตกแยกออกเป็นรากเล็กรากน้อยและ รากฝอยออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อทำการดูดซึมอาหารในดินไปบำรุงเลี้ยงส่วนต่างๆของต้นพืชที่มีรากแก้วได้แก่ ต้นขี้เหล็ก ต้นคูน เป็นต้น

1.2 รากฝอย รากฝอยเป็นส่วนที่งอกมาจากลำต้นของพืชที่ส่วนปลายงอกออกมาเป็น

รากฝอยจำนวนมากลักษณะรากจะกลมยาวมีขนาดเท่าๆกันต้นพืชที่มีใบเลี้ยงเดี่ยวจะมีรากฝอย เช่น หญ้าคา ตะไคร้ เป็นต้น

2. ลำต้น นับว่าเป็นโครงสร้างที่สำคัญของต้นพืชทั้งหงายที่มีอยู่สามารถค้ำยันเอาไว้ได้ไม่ให้โค่นล้มลงโดยปกติแล้วลำต้นจะอยู่ บนดินแต่บางส่วนจะอยู่ใต้ดินพอสมควร รูปร่างของลำต้นนั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ ตา ข้อ ปล้อง บริเวณเหล่านี้จะมีกิ่งก้าน ใบดอกเกิดขึ้นอีกด้วยซึ่งจะทำให้พืช มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปชนิดของลำต้นพืช

แบ่งตามลักษณะภายนอกของลำต้นได้เป็น

1. ประเภทไม้ยืนต้น

2. ประเภทไม้พุ่ม

3. ประเภทหญ้า

4. ประเภทไม้เลื้อย

3. ใบ ใบเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของต้นพืชทั่วไป มีหน้าที่ทำการสังเคราะห์แสง ผลิตอาหารและ เป็นส่วนที่แลกเปลี่ยนน้ำ และอากาศให้ต้นพืชใบเกิดจากการงอกของกิ่งและตาใบไม้โดยทั่วไปจะมีสีเขียว (สีเขียวเกิดจากสารที่มีชื่อว่า”คอลโรฟิลล์”อยู่ในใบของพืช)ใบของพืชหลายชนิดใช้เป็นยาสมุนไพรได้ดีมาก รูปร่างและลักษณะของใบนั้น

ใบที่สมบูรณ์มีส่วนประกอบรวม 3 ส่วนด้วยกันคือ

1. ตัวใบ

2. ก้านใบ

3. หูใบ

ชนิดของใบ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ

1. ชนิดใบเลี้ยงเดี่ยว หมายถึงก้านใบอันหนึ่ง มีเพียงใบเดียว เช่น กานพลู ขลู่ ยอ กระวาน

2. ชนิดใบประกอบ หมายถึงตั้งแต่ 2 ใบขึ้นไปที่เกิดขึ้นก้านใบอันเดียว  มีมะขามแขก แคบ้าน ขี้เหล็ก มะขาม เป็นต้น

4. ดอก ส่วนจองดอกเป็นส่วนที่สำคัญของพืชเพื่อเป็นการแพร่พันธุ์ของพืชเป็นลักษณะเด่นพิเศษของต้นไม้แต่ละชนิด ส่วนประกอบของดอกมีความแตกต่างกันตามชนิดของพันธุ์ไม้และลักษณะที่แตกต่างกันนี้เป็นข้อมูลสำคัญในการจำแนกประเภทของ ต้นไม้รูปร่างลักษณะของดอก

ดอกจะต้องมีส่วนประกอบที่สำคัญ 5 ส่วนคือ

1. ก้านดอก

2. กลีบรอง

3. กลีบดอก

4. เกสรตัวผู้

5. เกสรตัวเมีย

5. ผล ผลคือส่วนหนึ่งของพืชที่เกิดจากการผสมเกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมียในดอกเดียวกันหรือคนละดอกก็ได้ มีลักษณะรูปร่างที่แตกต่างกันออกไปตามประเภทและสายพันธุ์รูปร่างลักษณะของผลมีหลายอย่าง ตามชนิดของต้นไม้ที่แตกต่างกัน แบ่งตามลักษณะของการเกิดได้รวม 3 แบบ

1. ผลเดี่ยว หมายถึง ผลที่เกิดจากรังไข่อันเดียวกัน

2. ผลกลุ่ม หมายถึง ผลที่เกิดจากปลายช่อของรังไข่ในดอกเดียวกัน เช่น น้อยหน่า

3. ผลรวม หมายถึง ผลที่เกิดมาจากดอกหลายดอก เช่น สับปะรด

มีการแบ่งผลออกเป็น 3 ลักษณะคือ

1. ผลเนื้อ

2. ผลแห้งชนิดแตก

3. ผลแห้งชนิดไม่แตก