มังคุด ผลไม้สมุนไพร ใช้ได้แม้เปลือก

 ช่วยสมานแผล, แก้ท้องเสีย ท้องร่วง  ปิดความเห็น บน มังคุด ผลไม้สมุนไพร ใช้ได้แม้เปลือก
พ.ย. 142012
 

วันนี้เรามาพูดถึงผลไม้ ที่ใช้เป็นยาสมุนไพรไทยกันบ้าง และผลไม้สมุนไพรชนิดที่เราจะพูดถึงในวันนี้ ผมว่าทุกคนคงรู้จักและเคยทาน  ผลไม้ชนิดนี้มีรสชาติที่หอมหวาน และเนื้อในที่ขาวเนียนซึ่งถูกซ่อนเอาไว้ในเปลือกหนาสีแดงอมม่วง พูดลักษณะมาแบบนี้หลายคนคงนึกออกแล้วใช่ไหม ว่าผมพูดถึงอะไร แน่นอนสิ่งที่ผมพูดถึงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก “มังคุด” นั่นเอง

ก่อนเข้าสู่เนื้อหา ผมขอถามทุกคนก่อนว่าสำหรับมังคุดนั้น เวลาทาน เราจะทานกันยังไง ? หลายคนอาจบอก ก็แกะเปลือกทานเนื้อข้างในสิ ไม่น่าถามเลย!!! ก็ถูกครับผมไม่เถียง แล้วถ้าผมถามต่อว่าล่ะว่า แล้วเปลือกมังคุดที่แกะออกมาล่ะ ทำไงกับมันต่อ หลายคนก็คงจะตอบผมทันทีว่า ก็ทิ้งสิ จะเก็บไว้ทำไม ทานก็ไม่ได้ !!! ก็ถูกอีกครับ ถูกตรงที่ทานไม่ได้ แต่ถ้าเป็นด้านสมุนไพรไทย แล้วนับว่าน่าเสียดายมากที่จะทิ้งเปลือกมังคุด เพราะส่วนเปลือกเป็นส่วนที่จะใช้เป็นยาสมุนไพรได้มากที่สุด ก่อนที่เราจะพูดถึงต่อไปว่าเปลือกมังคุดเอาไปทำยาสมุนไพรอะไรได้บ้าง  เรามารู้จักลักษณะของมังคุดกันก่อนดีกว่านะครับ

มังคุดชื่อวิทยาศาสตร์  Garcinia mangostana Linn.

ชื่อโดยทั่วไป      มังคุด  หรือ  mangosteen   มังคุดคล้ายกับมะม่วงยังไงใครรู้ช่วยบอกที ? ทำไมในชื่อภาษาอังกฤษต้องมีคำว่ามะม่วง (mango)นำหน้าชื่อ

ชื่ออื่นๆของมังคุด  แมงคุด ,เมงค็อฟ

ลักษณะของมังคุด

  • ลำต้น มังคุดเป็นไม้ยืนต้น สูง 10-12 เมตร  ลำต้นตรง เปลือกลำต้นภายนอกมีสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ ภายในเปลือกประกอบด้วยท่อน้ำยาง มีน้ำยางสีเหลือง (โดนเสื้อผ้าแล้วซักออกยากมาก)
  • ใบ ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงกันข้าม รูปไข่หรือรูปวงรี มีขอบขนาน กว้าง 6-12 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15-25 เซนติเมตร เนื้อใบหนาและค่อนข้างเหนียวคล้ายหนัง หลังใบสีเขียวเข้มลักษณะเป็นมัน ท้องใบจะมีสีอ่อนกว่า
  • ดอก ลักษณะดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นคู่โดยจะออกที่ซอกใบ ใกล้ปลายกิ่ง เป็นดอกสมบูรณ์เพศหรือแยกเพศ กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลืองโดยจะติดอยู่จนเป็นผล(ดังที่เราเห็นกลีบสีเขียวติดอยู่ที่ผลมังคุดที่วางขาย) กลีบดอกมีสีแดง ลักษณะฉ่ำน้ำ
  • ผล ลักษณะผลสด ค่อนข้างกลม เปลือกนอกค่อนข้างแข็ง แก่เต็มที่มีสีม่วงแดง มียางสีเหลือง(แบบเดียวกับลำต้น) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-6 เซนติเมตร เนื้อในมีสีขาวฉ่ำน้ำ อาจมีเมล็ดอยู่ในเนื้อผลได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของผล จำนวนกลีบของเนื้อจะเท่ากับจำนวนกลีบดอกที่อยู่ด้านล่างของเปลือก (อันนี้ผมเคยเล่นทายกับเพื่อนโดยทายจำนวนเนื้อมังคุดของแต่ผลมีกี่กลับ ไอ้เพื่อนเราก็งงว่าเรารู้ได้ไง ลองเอาไปเล่นทายดูได้นะครับ สังเกตุจากกลีบดอกด้านล่างตามที่บอกไป)
คุณค่าทางโภชนาการ   นักโภชนาการได้ศึกษาจนพบว่าในมังคุด 100 กรัม ให้พลังงาน 76 แคลอรี โปรตีน 0.5 กรัม คาร์โบไฮเดรท 18.4 กรัม ใยอาหาร 1.7 กรัม แคลเซียม 11 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 17 มิลลิกรัม เหล็ก 0.9 มิลิลกรัม วิตามินบี1 0.09 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.06 มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.01 มิลลิกรัม  นับว่าเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่ามากทีเดียว
สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยจากมังคุด
ในที่สุดก็ถึงหัวข้อหลักของบทความนี้ ดังที่กล่วไว้ในตอนต้นว่าสรรพคุณด้านสมุนไพรของมังคุด จะอยู่ที่เปลือกมาดูกันว่าเปลือกมังคุดมีสรรพคุณอะไรบ้าง
  1. รักษาโรคท้องเสียเรื้อรัง และโรคลำไส้  โดยมีสูตรยาสมุนไพรคือ ใช้เปลือกมังคุดครึ่งผล (ประมาณ 4-5 กรัม) ต้มกับน้ำรับประทานครั้งละ 1 แก้ว
  2. รักษาอาการท้องเดิน ท้องร่วง โดยมีสูตรยาสมุนไพรคือ ใช้เปลือกมังคุ ต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำรับประทาน ดดยมีขนาดรับประทานอยู่ที่ เด็กให้รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชาทุก 4 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะทุก 4 ชั่วโมง
  3. รักษาแผลน้ำกัดเท้า แผลพุพอง (ปีนี้ไหนน้ำท่วมอีก คงได้ใช้สูตรนี้ แต่ยังไงขอให้ไม่ท่วมจะดีกว่า) สูตรสมุนไพรนี้จะใช้เปลือกผลสดหรือแห้ง ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้นๆ พอสมควร ทาแผลน้ำกัดเท้า แผลพุพอง วันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ก่อนที่จะทา ควรล้างเท้าฟอกสบู่ให้สะอาด ถ้ามีแอลกลอฮอร์เช็ดแผลควรเช็ดก่อน)  สาเหตุที่เปลือกของมังคุดสามรถรักษาแผลได้เพราะในเปลือก  มีสาร คือแทนนิน (tannin) ทำให้แผลหายเร็ว ช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองได้ดี
เป็นยังไงบ้างครับกับสรรพคุณของมังคุด พออ่านจบแล้วบางท่านอยากจะลองนำไปใช้ดูก็ไม่ว่ากันนะครับ
ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก thai wikipedia  หนังสือ สมุนไพรก้อนครัว
พ.ย. 112012
 

เวลาสั่งอาหารตามสั่ง หนึ่งในเมนูที่ผมชอบคือ หมูผัดพริกไทยอ่อน เวลาทานข้ามต้ม ก็อดไม่ได้ที่จะเหยาะพริกไทยลงไป จริงๆรสชาติของพริกไทยป็นรสชาติที่ถูกปากผม และผมก็เชื่อว่าหลายๆคนก็ชอบรสชาตินี้ นอกจากรสชาติของพริกไทยที่ช่วยเพิ่มความอร่อยให้แก่อาหารแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยคือ สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยของพริกไทย วันนี้ผมเองก็มีเรื่องราวดีๆของพริกไทยมาฝากทุกท่าน

มารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของพริกไทยกันก่อน

พริกไทยชื่อโดยทั่วไป พริกไทย หรือ   Pepper
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Piper nigrum Linn.
ชื่อวงศ์ Piperraceae
ชื่อตามภูมิภาค   พริกน้อย (ภาคเหนือ) พริก (ภาคใต้) พริกไทยดำ พริกไทยล่อน  พริกขี้นก (ภาคกลาง)

ลักษณะของต้นพริกไทย

เมื่อเรารู้จักกับชื่อต่างๆของพริกไทยแล้วคราวนี้ก็มาถึงลักษณะของต้นพริกไทยกันบ้าง  เชื่อนะครับว่าทุกคนเคยเห็นพริกไทยเม็ด พริกไทยออ่น แต่ถ้าต้นพริกไทยผมว่าน้อยคนนักจะได้เห็น เรามาดูลักษณะของต้นพริกไทยกันเลยครับ

  • ลำต้น  เป็นไม้เลื้อย มีความสูงประมาณ 5 เมตร ลักษณะของลำต้นเป็นข้อๆ พริกไทยถือว่าเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืน
  • ราก    รากของต้นพริกไทยมักเกิดบริเวณข้อ ตามลำต้นเป็นรากเล็กๆ โดยจะใช้ช่วยยึดเกาะ และมีรากที่อยู่ในดินขนาดใหญ่ประมาณสามถึงหกราก และรากฝอยแตกออก
  • ใบ      ลักษณะใบจะมีสีเขียวสด ใบใหญ่คล้ายใบโพ
  • ดอก  ของพริกไทยจะมีขนาดเล็ก จะออกช่อตามข้อเป็นพวง
  • เมล็ด จะมีลักษณะกลมติดกันเป็นพวง ดังที่เราเห็นในพริกไทยอ่อนบนจานผัดเผ็ด

คุณค่าทางด้านโภชนาการของพริกไทย   ในพริกไทยนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการหลายประการ อาทิเช่น

  1. พริกไทยนั้นมีแคลเซียมในปริมาณที่สูงมาก โดยเฉพาะในพริกไทยอ่อน ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงอยู่เสมอ และแคลซียม ยังสามารถป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนได้อีกด้วย
  2. พริกไทยมี ฟอสฟอรัส, วิตามินซี  ซึ่งวิตามินซีนั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชลอกการเสื่อมสภาพของเซลล์ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
  3. มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการมองเห็น
  4. มีสารที่ชื่อว่า ไปเปอรีน และ ฟินอลิกส์  ซึ่งทั้งคู่เป็นสารต้านอนุูมูลอิสระ มีสรรพคุณในการป้องกันมะเร็ง

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย

นอกจากคุณค่าทางด้านโภชนาการแล้ว พริกไทยยังมีคุณค่าทางด้านสมุนไพรไทยอีกหลายประการ โดยพอจะแยกเป็นสรรพคุณของแต่ละส่วนดังต่อไปนี้

  • ดอก  มีการระบุในตำราสมุนไพรไทยว่ามีสรรพคุณ แก้ตาแดงเนื่องจากความดันโลหิตสูง
  • เมล็ด มีสรรพคุณในการใช้เป้นยาช่วยย่อยอาหาร ขับสารพิษตกค้าง ขับเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ แก้ระดูขาว
  • ใบ ในใบพริกไทยมีสรรพคุณ แก้จุกเสียด แก้ปวดมวนท้อง
  • เถา ใช้ขับเสมหะ แก้ท้องร่วงอย่างรุนแรง และท้องเดินหลายๆครั้ง
  • ราก ใช้ขับลมในลำไส้ แก้ปวดท้อง วิงเวียน ช่วยย่อยอาหาร และเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย
  • น้ำมันหอมระเหย ในน้ำมันหอมระเหยจากพริกไทยนั้น สามรถช่วยแก้หวัด ทำให้จมูกโล่ง นอกจจากนี้ยังใช้ลดน้ำหนัก นำมาทานวดตามร่างกายในส่วนที่ต้องการลดได้ และนอกจากนี้พริกไทย ยังมีคุณสมบัติในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด จึงนิยมนำมาถนอมอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เช่นไส้กรอก กุนเชียง หมอยอ ซึ่งจะมีพริกไทยเป็นส่วนผสม

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของพืชสมุนไพรไทยที่ชื่อพริกไทย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดของเครื่องเทศสมุนไพร

ขอบคุณข้อมูลจาก thai wiki และหนังสืออาณาจักรพืชผัก สมุนไพรสร้างสมอง

 

ผักกระเฉด ผักสมุนไพร มากมายด้วยวิตามิน

 บำรุงกระดูกและฟัน, บำรุงสายตา, พืชสมุนไพร  ปิดความเห็น บน ผักกระเฉด ผักสมุนไพร มากมายด้วยวิตามิน
พ.ย. 072012
 

เวลาที่คุณไปทานยำวุ้นเส้นเจ้าประจำ คุณจะบอกให้เขาใส่อะไรบ้าง แน่นอนล่ะ กุ้งปลาหมึก หมูยอก็ว่ากันไป แต่ถ้าเป็นผักล่ะจะใส่อะไรดี แน่นอน ผักที่ขาดไม่ได้เลยคือผักกระเฉด ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงผักกระเฉดกันนะครับ ซึ่งถือว่าเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของไทยที่แพร่หลายมากมายเลยทีเดียว

มารู้จักชื่อเสียงเรียงนาม และลักษณะของผักกระเฉดกันก่อน

ผักกระเฉด

ชื่อทางวิทยาศาสตร์       Neptumia  oleracea Lour. FL.

ชื่อโดยทั่วไป      ผักกระเฉด   Water mimosa  (ดูจากชื่อในภาษาอังกฤษ เห็นคำว่า water นำหน้ารู้แล้วใช่ไหมครับว่าผัก  กระเฉดจะขึ้นที่ไหน?)

ชื่อวงศ์     MIMOSACEAE

ชื่อเรียกตามภูมิภาค         ผักหละหนอง  ผักหนอง ( แม่ฮ่องสอน หรือทางภาคเหนือ )  ผักรู้นอน ( ภาคกลาง  ) ผัดฉีด ( ภาคใต้ ) ผักกระเสดน้ำ (อุดรธานี-ยโสธร หรือภาคอิสาน )

ลักษณะของผักกระเฉด เชื่อว่าทุกคนคงเคยเห็น ในแบบสำเร็จรูปพร้อมทาน แต่ถ้าตอนเก็บล่ะ รู้ไหมเป็นยังไง ?

ลำต้น      ผักกระเฉดถ้าขึ้นบนดิน ก็เป็นพืชคลุมดิน  ลักษณะเป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับพวกผักบุ้ง เป็นพืชพื้นเมืองของไทยเราและยังพบได้ที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่นมาเลเซีย ผักกะเฉดสามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในน้ำ และบนบก แต่ถ้าเจริญเติบโตในน้ำจะพิเศษหน่อยตรงที่จะมีส่วนที่ ทำหน้าที่เป็นทุ่นพยุงเถาให้ลอยน้ำได้เป้นเหมือนทุ่นลอยน้ำภาษาบ้านๆเขาเรียกว่า “นม” หรือทางวิชาการเขาเรียกส่วนนี้ของพืชว่า Aerenchyme

ราก         ผักกระเฉดที่ขึ้นในน้ำ จะมีรากที่เกิดตามข้อที่ทอดไปในน้ำเรียกว่า “หนวด”

ใบ           ลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกตามข้อ (ลักษณะคล้ายใบมะขามมากจนตอนเด็กๆผมยังสับสน) โดยใบมีสีเขียว ขอบใบจะเป็นสีม่วง สิ่งที่พิเศษคือใบจะหุบเวลาที่โดนสัมผัสและจะหุบเองในตอนกลางคืน(ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าผักรู้นอน ดั่งที่ครูภาษาไทยสอน แต่ก็ไม่ค่อยมีคนเรียกหรอกเชื่อไหม) รากจะแตกออกเป็นกระจุกตามบริเวณข้อ ดอกและผล       ผักกระเฉดจะออกดอกเป็นช่อกลมสีเหลืองตามซอกใบ ผลจะออกเป็นฝักโค้งงอเล็กน้อย มีเมล็ดด้านในอยู่สี่ถึงสิบเมล็ด

ในผักกระเฉดมีคุณค่าอะไรในนั้นบ้าง

สำหรับคุณค่าทางด้านโภชนาการของผักกระเฉดนั้นมีอยู่มาก แต่พอจะไล่เป็นข้อๆปล้องๆให้ฟังได้ดังนี้

–  ผักกระเฉดมีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งเจ้าวิตามินเอนั้น มีความสำคัญกับตา ช่วยในการมองเห็นโดยเฉพาะภาวะที่มีแสงน้อย นอกจากนั้นวิตามินเอในผักกระเฉด ยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเป้นปรกติ และที่สำคัญยังในการเจริญโตและ ช่วยในระบบสืบพันธ์ ใครไม่อยากเป็นหมันก็อย่าลืมผักกระเฉดนะครับ

–   ผักกระเฉด มีแคลเซียม ซึ่งเป้นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทั้งยังทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปรกติ

–   ผักกระเฉดมีธาตุเหล็ก ซึ่งธาตุเหล็กนั้นมีความจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด หากขาดธาตุเหล็ก อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้

สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของผักกระเฉด

นอกจากสรรพคุณด้านโภชนาการแล้ว ผักกระเฉดยังมีสรรพคุณด้านการเป้นสมุนไพรอยู่ด้วย กล่าวคือตามตำราสมุนไพรไทย ผักกระเฉดเป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถอนพิษเบื่อเมา ป้องกันโรคตับอักเสบ และนอกจากนั้นยังมีสูตรยาโบราณ ที่นำผักกระเฉด ตำผสมกับสุราแล้วหยอดบริเวณฝันที่ปวด ซึ่งเชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้

การนำผักกระเฉดไปประกอบอาหาร

จริงๆผักกระเฉดทำอาหารได้หลายอย่าง มากกว่าแค่ที่ผมบอกว่าใส่ในยำวุ้นเส้น แล้วแต่เราจำนำไปประยุกต์ หรือทานสดเป็นผักกับน้ำพริกก็ยังได้ ซึ่งทางเว็บเราจะขอข้ามในเรื่องยำผักกระเฉด อาหารที่ทำจากผักกระเฉดสูตรอาหารไป แต่จะแนะนำเคล็ดลับเล็กน้อยในการเลือก โดยควรเลือกผักกระเฉดที่มียอดอ่อน จะกรอบและอร่อย ส่วนเคล็ดลับในการลวกผักกระเฉด คือน้ำต้องเดือด ใส่เกลือเล็กน้อย และสำคัญที่สุดคือห้ามลวกนาน เพราะผักกระเฉดจะเหนียว ถ้าจะให้ดีลวกแล้วควรตักใส่น้ำเย้นจัดทันที หรือเอาน้ำแข็งโปะก็ได้ ผักกระเฉดจะกรอบและอร่อยมากๆ

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวน่ารู้ของผักทสมุนไพรที่ได้ชื่อว่าอุดมไปด้วยวิตามินอย่างผักกระเฉด

ขอขอบคุณข้อมุลจาก หนังสือ อาณาจจักรพืชผัก สมุนไพรสร้างสมอง , ไทย wikipedia และเว็บ the-than.com

พ.ย. 022012
 

สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว ไทยสมุนไพร.net วันนี้ก็เข้าสู่เดือนพฤศจิกายนแล้ว รู้สึกอากาศก็เริ่มจะเย็นลง(นิดหน่อย) เพราะใกล้เข้าสู่หน้าหนาว พอพูดถึงหน้าหนาว สิ่งหนึ่งที่จะช่วยคลายหนาวลงได้นอกจากผ้าห่มและคนรู้ใจ หลายคนก็คงนึกไปถึง เครื่องดื่มร้อนๆสักถ้วย ที่จะพอแก้หนาว เพิ่มความรู้สึกสดชื่น อาจจะเป็นชา หรือกาแฟก็ตามสะดวกนะครับ แต่วันนี้เว็บของเราเองก็มีทางเลือกดีๆทางเลือกหนึ่งมาฝากทุกท่านเช่นกัน เป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่ให้อารมณ์เหมือนดื่มชา แต่แตกต่างตรงที่ชาที่ผมจะแนะนำ นั้นไร้ซึ่งคาเฟอีน แถมมีสรรพคุณด้านสมุนไพรไทย อีกต่างหาก ซึ่งเครื่องดื่มชนิดนั้นคือชาจาก ดอกคำฝอย นั่นเองครับ   ก่อนจะพูดถึงสรรพคุณ แน่นอนต้องมารู้จักชื่อเสียงเรียงนามรูปร่างหน้าตาของพืชชนิดนี้กันก่อน

ดอกคำฝอยชื่อวิทยาศาสตร์  Carthamus tinetorius L.

ชื่อวงศ์   Compositae

ชื่อโดยทั่วไป   คำฝอย หรือ Safflower,False Saffron ,Saffron Thistle (จะสังเกตว่าชื่อในภาษาอังกฤษมักมีคำว่า Saffron ซึ่งคำว่า Saffron นี้แปลว่า สีเหลืองอมส้ม  ซึ่งบอกถึงลักษณะสีของดอกคำฝอยได้เป้นอย่างดี)

ชื่ออื่นๆตามแต่ละภูมิภาค  ดอกคำ (ภาคเหนือ) ,คำยอง (ลำปาง) ภาคอื่นๆจะไม่มีชื่อเฉพาะนะครับ

ลักษณะของต้นคำฝอย

เป็นไม้ที่สู้ไม่ถอย (ไม้ล้มลุก) สูงประมาณ 40-130 เซนติเมตร ขอบใบหยักเป็ลักษณะคล้ายฟันเลื่อย ปลายจะแหลม ปลูกง่าย ชอบอากาศเย็น มักขึ้นทางภาคเหนือของประเทศ

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย

ดอก มีรสหวาน สรรพคุณบำรุงโลหิต  บำรุงหัวใจ บำรุงระบบประสาท ขับประจำเดือน และที่สำคัญที่ทำให่ดอกคำฝอยเป็นที่นิยมคือสรรพคุณในการ ลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอุดตัน    นอกจากนั้นในดอกแก่ยังใช้ทำเป็นสีในการปรุงแต่งอาหาร โดยวิธีการจะนำดอกที่แก่มาชงกับน้ำร้อน แล้วกรองจะได้สีเหลืองเข้ม นำไปผสมอาหารเช่นขนม โดยใช้ในปริมาณที่เหมาะสม นับว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

เกสร  บำรุงโลหิต  ช่วยในเรื่องประจำเดือนของสตรี

เมล็ด  มีสรรพคุณด้านสมุนไพรในการขับเสมหะ แก้โรคผิวหนัง หรือนำมาบด ทาแก้บวม

สูตรชาจากดอกคำฝอย

นำดอกคำฝอยไปตากให้แห้ง นำไปชงกับน้ำร้อนในอัตราส่วน ดอกคำฝอยสองช้อนโต๊ะ ต่อน้ำหนึ่งแก้ว จะได้ชาดอกคำฝอยกลิ่นหอมน่ารับประทาน  แต่ถ้าใครเห็นว่าชาดอกคำฝอยเป็นเรื่องยุ่งยาก (หรือไม่รู้จะหาต้นคำฝอยได้ที่ไหน) เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องไม่ยากเลยครับ เพราะดอกคำฝอยเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่คนนิยมนำมาแปรรูปขาย สามรถซื้อดอกคำฝอยที่ตากแห้งพร้อมชง ได้ตามร้าน OTOP ต่างๆ ตามห้างสรรพสินค้าก็มีให้เห็นบ่อยๆ แม้กระทั่งในเซเว่น(บางสาขา) ยังมีให้เห็นด้วยซ้ำ ยังไงก็ลองหามาทานดูได้  สุดท้ายช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว ตู้ยาข้างบ้าน (รูปภาพจาก blog Lovesbody)

บอระเพ็ด สุดยอดยาอายุวัฒนะ

 พืชสมุนไพร, ยาอายุวัฒนะ, ลดไข้  ปิดความเห็น บน บอระเพ็ด สุดยอดยาอายุวัฒนะ
ต.ค. 272012
 

สมุนไพรไทยของเรามีอยู่หลายชนิด วันนี้เรามีสมุนไพรชนิดหนึ่งมาแนะนำ เป็นสมุนไพรที่แค่ได้ยินชื่อหลายคนอาจเข็ดขยาดกับความขมของมัน พืชชนิดนั้นคือ บอระเพ็ดนั่นเองครับ แต่ภายในความขมของบอระเพ็ดนั้น แฝงด้วยสรรพคุณหลายๆอย่างโดยเฉพาะสรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย ถ้าไม่เชื่อมาลองดูกัน

บอระเพ็ดชื่อวิทยาศาสตร์  Tinospora crispa (L.)Miers ex Hook.f.& Thomson  ชื่อยาวมาก ไว้วันหลังจะพูดถึงหลักการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชสมุนไพรไพรไทย
และพืชอื่นๆให้ฟังนะครับ)
เป็นพืชวงศ์          Menispermaceae
ชื่ออื่นๆตามภูมิภาค   เถาหัวด้วน (ภาคกลางแถวสระบุรี) หางหนู จุ่มจะลิง (ภาคเหนือ) เจตมูลหนาม(ภาคอิสาน หนองคาย) เครือกอฮอร์ (ภาคอิสาน อุดรธานี)

ลักษณะทั่วไปของบอระเพ็ด
เป็นไม้เถาเลื้อย เถาค่อนข้างกลมขนาดของเถาเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร โดยจะมีปุ่มรอบๆเถาสีดำ รสขมมาก(มากแบบมากจริงๆนะครับ) ใบของบอระเพ็ดเป็นรูปหัวใจ ปลูกง่ายตามข้างรั้ว หรือเลื้อยพันกับต้นไม้ใหญ่

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย
ราก   ถอนพิษไข้
ต้น    ลดไข้เช่นเดียวกับราก  บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร ปรับสมดุลในร่างกาย นอกจากนี้ตามตำราสมุนไพรไทยกล่าวว่า สามารถช่วย บำรุงกำลัง และยังเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย

วิธีใช้บอระเพ็ดเป็นยาอายุวัฒนา
เนื่องจากว่าส่วนต้นของบอระเพ็ด มีความขมมาก จะรับประทานสดสด คงไม่ไหม ต้องมีวิธีปรุงยาสมุนไพรไทยก่อน ขอแนะนำสามวิธีดังนี้
1. ใช้เถาบอระเพ็ดหั่นแล้วตากแห้ง จากนั้นบดเป็นผงผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานก่อนนอนวันละ 3-5 เม็ด
2. สำหรับคนที่ไม่แพ้แอลกลอฮอร์ ใช้เถาสดดองเหล้า โดยจะใช้บอระเพ็ดสดประมาณ 2 ขีดหั่นเป็นข้อใส่ในโถเหล้า ส่วนการดื่มให้ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชาก่อนอาหารเย็น
3. วิธีนี้ง่ายที่สุด คือนำบอระเพ็ดตากแห้ง แล้วนำมาบดใส่แคปซูล ทานวันละ 2-3 แคปซูลโดยทานก่อนอาหารเช้า เย็น (อาจทานเช้าเย็น มื้อละแคปซูล หรือเช้า 1 เย็น 2 ก็ได้)

วิธีใช้บอระเพ็ดเป็นยาบรรเทาไข้ ลดความร้อน                                                

  1. ใช้เถาแก่สด หรือต้นสด ประมาณ 15-20 เซนติเมตร (30-40 กรัม) ตำให้แหลกและคั้นเอาน้ำดื่ม (อย่าลืมใส่ถุงมือตอนคั้นนะครับ ขมติดมือไม่รู้ด้วย )หรือต้มกับน้ำโดยใช้ น้ำ 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ
  2. ใช้เถาสด ดองเหล้าโรง แนะนำ 20 ดีกรีก็พอ รับประทานเพียงครั้งละ 1 ช้อนชา

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของบอระเพ็ด ใครเลยจะรู้ว่าเจ้าสมุนไพรอย่างบอระเพ็ดเอง อาจเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ก็อาจเป็นได้

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของบอระเพ็ด ใครเลยจะรู้ว่าเจ้าสมุนไพรอย่างบอระเพ็ดเอง อาจเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ก็อาจเป็นได้

ผักบุ้งทะเล แก้พิษได้ ใช้ยามฉุกเฉิน

 พืชสมุนไพร, แก้แมงสัตว์กัดต่อย  ปิดความเห็น บน ผักบุ้งทะเล แก้พิษได้ ใช้ยามฉุกเฉิน
ต.ค. 252012
 

เมื่อไม่นานนี้เอง ผมได้มีโอกาศไปเที่ยวทะเล เวลาไปเที่ยวทะเลนอกจากหาดทรายสวยๆ น้ำใสๆแล้ว ก็นึกขึ้นมาได้ ว่าการลงเล่นน้ำ เราอาจต้องเพิ่มความระมัดวังนึดนึงหากต้องไปทักทายกับสัตว์โลกผู้น่ารักอย่าง แมงกะพรุนไฟเข้า

แมงกะพรุนไฟ

สัตว์จำพวกแมงกะพรุนไฟนั้น มีพิษที่เหล็กใน ซึ่งอยู่ที่บริเวณหนวดเส้นเล็ก ๆ และซึ่งจะปล่อยออกมาแทงผิวหนังของคน  ทำให้ปวดแสบปวดร้อนไปนาน ผิวหนังบริเวณนั้นจะบวมเป็นผื่นแดง  อาการมากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละคน  ใครเจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัว จะไปหายามาทาหรือพาไปหาหมอคงอาจต้องใช้เวลานานหน่อย แต่เราสามารถปฐมพยาบาลด้วย ตัวเองได้ ด้วยพืชสมุนไพรไทย ที่พบได้ง่ายบริเวณนั้น ใช่แล้วครับ พระเอกของเรื่องในวันนี้คือ ผักบุ้งทะเลนั่นเอง

มารู้จักกับผักบุ้งทะเล

ผักบุ้งทะเล เป็นพืชที่ขึ้นตามชายหาดชื่อทางวิทยาศาสตร์  lpomoea  pes-caprae (L.)R.br.

ชื่อโดยทั่วไป   ผักบุ้งทะเล หรือ Goat’s Foot Creeper ,  Beach Morning Glory

ชื่อวงศ์   convolvulaceae

ลักษณะของผักบุ้งทะเล

ส่วนลำต้น       เป็นไม้ล้มลุก เลื้อยไปตามพื้นทรายหรือพื้นดิน ชอบขึ้นพื้นที่ใกล้ทะเล หรือตามชายหาดต่างๆ ทั้งต้นมีน้ำยางสีขาว

ลักษณะใบ      เป็นใบเดี่ยว แผ่นใบจะกว้าง โคนใบจะเป็นรูปหัวใจ ปลายใบเว้าลึก

ลักษณะดอก   ดอกจะออกเป็นช่อ 5 ถึง 6 ดอก กลีบดอกสีชมพูอมม่วง กลีบดอกติดกันบานคล้ายปากแตร (ลักษณะคล้ายผักบุ้งนามาก) ดอกจะบานตอนเช้า บ่ายๆจะหุบและเหี่ยว

สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของผักบุ้งทะเล

  • ใช้แก้พิษแมงกระพรุนไฟได้ โดยหากถูกแมงกระพรุนไฟหากมีต้นผักบุ้งทะเลขึ้นแถวนั้นให้ใช้วิธีการดังนี้
  1. เมื่อถูกแมงกะพรุนไฟในตอนแรก ให้ใช้ทรายที่หาดนั้นถูบนผิวหนังเบาๆ เพื่อขัดเอาน้ำเมือก ๆ จากตัวแมงกะพรุนไฟบนผิวหนังออกล้างด้วยน้ำทะเล ห้ามใช้น้ำจืด
  2. ให้ใช้ขยำต้นและใบผักบุ้งทะเลให้ได้วุ้นลื่นๆ (ขยี้เหมือนเราซักผ้านั่นแหละ) แล้วนำมาพอกแผล  เหตุที่ผักบุ้งทะเลมีฤทธิ์เป็นสมุนไพรในการรักษาพิษแมงกระพรุนไฟได้เนื่องจาก ในใบผักบุ้งทะเลมีสาร โวลาไทน์ เอสเตอร์ (Volatile Ester) สามรถลดอาการปวดอักเสบ ปวดแสบปวดร้อนจากพิษแมงกระพรุนได้ นอกจากนั้นยังมีสารแอินตี้ ฮิสตามีน(antihistamine) สามรถต้านอาการแพ้ได้อีกด้วย
  3. หากอาการยังไม่บรรเทา เช่นปวดมากควรทานยาแก้ปวด และควรนำส่งโรงพยาบาล
  • นอกจากแก้พิษของแมงกระพรุนไฟแล้วนั้น ผักบุ้งทะเลยังสามรถแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยได้อีกด้วย

ไปเที่ยวทะเลครั้งใด อย่าลืมนึกถึงผักบุ้งทะเลกันนะครับ

 

ต.ค. 242012
 

เมื่อไม่กี่วันผ่านมาผมได้มีโอกาศไปทาน อาหารญี่ปุ่นกับคุณแฟน ที่ร้าน S.(ขอไม่เอ่ยชื่อเต็มนะครับ) ซึ่งจะเป็นแบบบุปเฟ่ อาหาร+เครื่องดื่ม ก็ไม่มีอะไรทานตามปรกติสุข แต่พอจะไปกดเครื่องดื่มมาดื่ม ก็สะดุดตากับเครื่องดื่มสีส้มสดใส ตอนแรกคิดว่าน้ำส้ม แต่พออ่านป้ายจึงรู้ว่าเป็น น้ำเสาวรสนี่เอง ก็เลยลองมาหาข้อมูลของพืชชนิดนี้ดู พบว่าสรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย ของพืชชนิดนี้มีมาก เลยลองมาแบ่งปันให้เพื่อนๆชาว ไทยสมุนไพร.net ได้ลองอ่านกันดู

          พูดถึงเสาวรส  ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าพืชชนิดนี้ไม่ได้เป็นพืชของไทยเรามาแต่เดิมนะครับ เพราะพืชชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ บริเวณประเทศบราซิล ปารากวัย อาร์เจนตินา แต่มาแพร่พันธ์ในไทย ก่อนรู้จักสรรพคุณเรามารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของพืชชนิดนี้กันนะครับ

เสาวรสชื่อวิทยาศาสตร์: Passiflora edulis

ชื่อโดยทั่วไป   :  เสาวรส  หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Passionfruit

ชื่ออื่นๆ  : กระทกรก  สุคนธรส

ลักษณะของเสาวรส

เป็นไม้เลื้อย ผลเป็นรูปค่อนข้างกลม ผลอ่อนจะมีสีเขียว แต่ที่พิเศษคือเมื่อสุกจะมีหลายสี แล้วแต่ว่าพันธ์อะไร  ที่พบจะมีทั้งทั้งสีม่วง สีเหลือง สีส้ม ชั้นในสุดของเปลือกเป็นเยื่อสีขาวที่เรียกรก(เป็นทีมาของกระทกรก) เมล็ดมีสีดำ อยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดเป็นถุง กลิ่นคล้ายฝรั่งสุก รสเปรี้ยวจัด บางพันธุ์มีรสเปรี้ยวอมหวาน

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย

ยอด รับประทานเป็นผักสด จิ้มน้ำพริกมีรสขมเล็กน้อย หรือจะนำไปแกงก็ได้

เนื้อไม้  ตามตำราสมุนไพรบอกว่าเป็นยาควบคุมธาตุ ถอนพิษเบื่อเมทุกขนิด ใช้รักษาบาดแผล

ราก ใช้ต้มน้ำเพื่อแก้ไข้  รักษาผดผื่นคัน กามโรค

ใบ ใช้ตำให้ละเอียด แล้วคั้นน้ำดื่มเป้นยาขับพยาธิได้

คอก ใช้แก้ไอ ขับเสมหะ

ผล รับประทานเมล็ด เยื่อหุ้มเมล็ด คั้นเป็นน้้ำดื่มเพื่อสุขภาพ

ประโยชน์ของน้ำเสาวรสน้ำเสาวรส

ดังที่บอกไปว่าเสาวรสมีประโยชน์ในทุกส่วน แต่ส่วนที่คนนิยมใช้จริงๆ คือผลของเสาวรส  ที่คนมักนิยมนำมาคั้นทำเป็นน้ำเสาวรส ลองมาดูประโยชน์ของมันกันครับ

  • น้ำเสาวรสมีวิตามินเอสูง ซึ่งมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ
  • น้ำเสารสมีวิตามินซีสูง จึงสามารถรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อีกทั้งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอกระบานการเสื่อมสภาพของเซลล์
  • สามารถกำจัดสารพิษในเลือด บำรุงไต รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ สามารถลดไขมันในเลือดได้เป็นอย่างดี

ข้อควรระวังในการรับประทานเสาวรส

  •   ผู้ที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงควรดื่มพอประมาณ
  •   ไม่ควรรับประทานสดแบบทั้งต้น เพราะมีสารพิษอาจเป็นอันตรายได้

ขอบคุณข้อมูลจาก Thai wiki pedia ,หนังสือ สมุนไพรใกล้ตัว ตู้ยาข้างบ้าน  /ภาพประกอบจาก internet

เพชรสังฆาต ริดสีดวงหายขาดด้วยสมุนไพรไทย

 พืชสมุนไพร, รักษาริดสีดวงทวาร  ปิดความเห็น บน เพชรสังฆาต ริดสีดวงหายขาดด้วยสมุนไพรไทย
ต.ค. 192012
 

หากใครจำโฆษณาเมื่อหลายปีก่อนได้ (น่าจะมากกว่า10 ปี) ก็คงจะจำประโยคสุดขำที่ว่า “ก็ลมมันเย็น”ได้ดี สำหรับคนที่นึกออกก็คงร้องอ๋อ ใช่ครับมันคือโฆษณายาแก้ริดสีดวงทวารนั่นเอง  หากพูดถึงริดสีดวงทวาร นับว่าเป็นโรคที่สร้างความทุกทรมานให้คนเป็นจำนวนมาก ก่อนจะพูดถึงหัวข้อต่อไป ขออนุญาต พูดถึงโรคริดสีดวงทวารกันก่อนเล็กน้อย

   ริดสีดวงทวารคือ การที่เส้นเลือดดำ รอบๆทวารหนักเกิดการโป่งพองขึ้น ทำให้เกิดอาการริดสีดวงทวารขึ้น  ซึ่งอาการเริ่มต้นจะมีตั้งแต่คันที่ปากทวารหนัก จนไปถึงเจ็บทวารหนักเวลาขับถ่าย หรือบางทีมีเลือดปนมากับอุจจาระ  ลักษณะเป็นเลือดสดๆหลังการขับถ่าย จะว่าไปอาการค่อนข้างน่ากลัวนะครับ ใครที่เคยเป็นคงทราบถึงความทุกทรมานดี ส่วนสาเหตุที่เป็นนั้นส่วนใหญ่เกิดมาจากพฤติกรรมการขับถ่าย หรืออาการท้องผูกเรื้อรัง ทำให้ต้องใช้กำลังภายในในการเบ่งมาก (พูดเหมือนหนังจีนเลย)จึงทำให้เส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักเกิดการโป่งพองจนกลายมาเป็นโรคริดสีดวงในที่สุด

เมื่อเรารู้จักโรคริดสีดวงทวารแล้ว เราก็มารู้จักกับทางแก้หรือทางรักษากันบ้าง ซึ่งมีอยู่สองทาง ทางแรกคือทานยา รายละเอียดผมไม่ขอกล่าว ส่วนอีกทางหนึ่งคือ การใช้สมุนไพรไทย ซึ่งสมุนไพรไทยที่จะแก้อาการนี้ได้แบบที่เรียกว่าได้ผลดีก็คือ “เพชรสังฆาต”นั่นเองครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามารู้จักสมุนไพรชนิดนี้กันเลย

เพชรสังฆาตชื่อทางวิทยาศาสตร์  Cissus quadrangulalis L.

ชื่อวงศ์  TITACEAE

ชื่ออื่นๆ สันชะควด สามร้อยข้อ พญาร้อยปล้อง (สองชื่อหลังนี้บ่งบอกลักษณะของเพชรสังฆาตได้ดีมากๆ)

ลักษณะโดยทั่วไปของเพชรสังฆาต

  • ลำต้น  เพชรสังฆาตนั้นมีลักษณะเป็นไม้เถาเลื้อย อวบน้ำ ลำต้นเป็นปล้องยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ลักษณะจะเป็นเหลี่ยม มีมือเกาะตรงข้อ ใช้ยึดเกาะ บางข้อก็จะเป็นลักษณะ รากอากาศงอกออกมา
  • ใบ  ลักษณะใบจะเป็นใบเดี่ยว ออกข้อละ 1 ใบ  ดอกจะมีขนาดเล็ก สีแดง ออกตรงข้ามใบ
  • ผล  เพชรสังฆาตมีผลขนาดเล็กออกตรงโคนกลีบดอก เมื่อสุกจะสีแดง สุกมากๆจะมีสีดำ

การใช้เป็นยาสมุนไพรไทย

วิธีการใช้รักษาโรคริดสีดวง จะใช้เพชรสังฆาตสดหนึ่งปล้อง  แต่เนื่องจาก เพชรสังฆาตมีรสขม และคันคอมาก หากรับประทานไปตรงๆ ปากอาจจะพองได้ แถมยังคันคอมากอีกด้วย คล้ายกับเวลาเราทานพืชจำพวกบอน ฉะนั้นจึงแนะนำให้ ตัดเถาสดเป็นปล้องเล็กๆ ปล้องละ 1 เซนติเมตร หุ้มด้วยกล้วยสุก หรือมะขามเปียก แล้วกลืนวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นหลังอาหาร โดยให้ทานติดต่อกัน 10 วันจึงจะเห็นผล ถ้ายังไม่หายดี หรือหายขาด แนะนำ ให้ทานต่ออีก 5 วัน

อีกวิธี เป็นวิธีการใช้เพชรสังฆาต แบบแห้ง โดยให้ใช้เพชรสังฆาตไปตากแห้ง จากนั้นนำมาบดใส่แคปซูลเบอร์ 2 (หาซื้อได้ตามร้านขายยา) จะได้ผงยานี้ 250 มิลลิกรัม โดยให้รับประทานครั้งละสองแคปซูล วันละ 4 ครั้งก่อนอาหาร และ ก่อนนอน โดยรับประทานติดต่อกัน 1 สัปดาห์ อาการจะดีขึ้น ถ้าเริ่มหายดีแล้ว ให้รับประทานติดต่อกันอีก 7 วันจะทำให้หายขาด

เป็นยังไงบ้างครับกับวิธีการรักษาริดสีดวงทวารโดยใช้สมุนไพรไทยที่ชื่อ เพชรสังฆาต น่าสนใจไหม สุดท้ายของฝากนิดนึง หากใครเป็นโรคริดสีดวงทวารแล้วรักษาหาย ไม่ว่าจะทานยา หรือใช้สมุนไพรก็ตาม ท่านยังมีโอกาศที่จะกลับมาเป็นอีก แนะนำวิธีป้องกันที่ได้ผลดีที่สุดคือ ให้เราเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการขับถ่าย โดยขับถ่ายให้สม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีกากใยมากๆ รับรอง ริดสีดวงทวารจะไม่กลับมาหาท่านอีก

 

 

ต.ค. 182012
 

วันนี้เราพูดถึงพืชชนิดหนึ่งกัน เป็นพืชทั่วๆไป ที่พบได้ง่าย(ตาม concept ของเว็บเรา )แต่เปี่ยมไปด้วยสรรพคุณของสมุนไพรไทย พืชชนิดนั้นก็คือมะเฟืองนั่นเองครับ  คิดว่าหลายท่านคงเคยทานกันมาแล้วบ้าง วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงมะเฟืองกัน มาดูกันว่า มะเฟืองที่แสนธรรมดา แฝงคุณค่าความเป็นสมุนไพรไทยอะไรให้เราบ้าง ซึ่งตามธรรมเนียมนิยมอยากรู้จักใคร หรืออยากรู้จักอะไรต้องรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันก่อน งั้นเริ่มที่ชื่อต่างๆ ของมะเฟืองแล้วกันนะครับ

มะเฟืองชื่อโดยทั่วไป       มะเฟือง   Star fruit   (star = ดาว ตรงตัวดีไหมครับ ถ้ามองทั้งลูกไม่ออกว่ามะเฟืองเหมือนดาวยังไง แนะนำให้ผ่าตามขวางดูแล้วจะรู้)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของมะเฟือง    acerrhoa carambola L.

ชื่อวงศ์   AVERRHOACEAE

ลักษณะโดยทั่วไปของต้นมะเฟือง

  • ลำต้น มะเฟืองจัดเป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลาง ไม่สูงไม่เตี้ย ประมาณ 3-10 เมตร ลำต้นเปราะแตกง่าย
  • ใบมะเฟือง  มะเฟืองมีใบประกอบขนนก มองไปมองมาก็ดูคล้ายใบของต้นมะยม
  • ดอก มะเฟืองมีดอกสี ม่วงขาว ออกไปทางชมพู ดอกจะออกเป็นพวง
  • ผลของมะเฟือง  เมื่อเริ่มออกผลจะเป้นสีเขียว แต่พอเริ่มสุขจะค่อยๆเป็นสีเหลือง(แต่ขอบของผลโดยมากจะยังเป็นสีเขียว) มะเฟืองมีผลฉ่ำน้ำ มีรสเปรี้ยว อมหวาน

สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของมะเฟือง

มะเฟืองมีสรรพคุณอยู่หลายด้าน อาทิเช่น แก้ร้อนใน บำรุงธาตุ บำรุงร่างกาย แก้อ่อนเหลีย ลดความร้อนในร่างกาย ขับเสมหะ ป้องกันโรคโลหิตจาง ขับปัสสาวะ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ทำให้ร่างกายผ่อนคลายและช่วยให้นอนหลับ บรรเทานิ่วในทางเดินปัสสาวะ   เป็นไงหละครับเยอะดีไหม

ในการบรรเทาอาการที่ได้กล่าวมา ผู้รู้ได้ให้ข้อแนะนำเพิ่มดังนี้

– การรับประทานมะเฟืองสด เวลาเกิดอาการ เช่นทานเพื่อบรระเทาอาการปัสสาวะขัด ควรทานมะเฟืองหรือน้ำมะเฟืองติดต่อกันประมาณ 15 วันเป็นอย่างน้อย หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น

– การดื่มมะเฟืองเพื่อผ่อนคลาย หรือช่วยให้หลับสบายนั้น แนะนำให้ดื่มวันละ 1 แก้วหลังอาหารเย็น ในมะเฟืองมีสารที่ทำให้นอนหลับสนิทจะช่วยตรงนี่ได้

– มะเฟืองสามผล จะคั้นน้ำได้มากถึง 1 แก้ว ก่อนทานแนะนำให้เติมเกลือเล็กน้อย จะทำให้ทานง่ายขึ้น

ทั้งหมดนี้แหละครับคือสรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของมะเฟือง ยังไงลองหามาทานกันดูนะครับ

ต.ค. 172012
 

พูดถึงมะขามป้อมเชื่อว่าทุกคน คงรู้จักแน่ ส่วนคำว่า “ชุ่มคอ ชื่นใจ” ในหัวข้อของเรื่องนี้หล่ะ หลายคนอาจจะจะนึกไม่ถึงว่ามะขามป้อมนี่นะ ทำให้ชุ่มคอชื่นใจได้ ไม่ใช่หมากหอมเยาวราชซะหน่อย แต่มันก็ป็นเรื่องจริงครับ สรรพคุณทางสมุนไพรไทยของมะขามป้อมทำให้เราชุ่มคอ ชื่นใจได้จริงๆ เรามารู้จักมะขามป้อมกันเถอะ

มะขามป้อมชื่อโดยทั่วไป Emblic myrablan , Ma-lacca tree.

ชื่อวิทยาศาสตร์ของมะขามป้อม Phyllanthus emblica L.

เป็นพืชวงศ์   EUPHORBIACEAE

ลักษณะของมะขามป้อม

มะขามป้อมนั้นเป็นไม้ทนแล้ง (น้ำน้อยก็ปลูกได้ มะขามป้อมเอาอยู่ แต่ถ้าน้ำมากเหมือนที่ กทม.ตอนปี 54 ไม่รู้จะเอาอยู่หรือเปล่า) ต้นมะขามป้อมสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นเป็นสีเทาอมน้ำตาล ใบเป็นใบเรียงเดี่ยว เรียวสลับกัน ออกดอกเป็นช่อ ผลอ่อนมีสีเหลืองเขียว พอเริ่มแก่ผลจะเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยของมะขามป้อม

เมื่อเรารู้จักกับลักษณะของต้นมะขามป้อมแล้ว คราวนี้ก็ถึงที ที่เราจะรู้จักกับสรรพคุณของมะขามป้อมบ้าง มาดูกันเลยนะครับว่ามะขามป้อมมีดียังไง

ผลสด รับประทานวันละ 1-2 ลูก ทำให้ชุ่มคอ คิดว่าถ้าเคยทานคงจำความรู้สึกได้ ตอนกินจะรู้สึกเปรี้ยวๆฝาดๆ แต่พอทานน้ำตามเท่านั้นแหละ จะรู้สึกหวานและชุ่มคอมาก ตามตำราสมุนไพรไทย มีสูตรอยู่ว่า ให้นำมะขามป้อมผลสดจำนวน 10 ผล มาบดและคั้นน้ำผสมน้ำผึ้ง เติมเกลือนิดหน่อย ดื่มวันละครั้ง จะเป็นยา แก้ไอ ขับเสมหะชั้นเลิศ นอกจากนั้นยังทำให้ร่างกายสดชื่น ต้านอนุมูลอิสระ (ตำรายาสมุนไพรไทยไม่ได้บอกถึงการต้านอนุมูลอิสระเอาไว้นะครับ เรื่องต้านอนมูลอิสระเป็นข้อมูลจากงานวิจัยสมัยใหม่ )

ผลมะขามป้อมตากแห้ง แม้จะตากแห้ง แต่ยังคงฤทธิ์ของสมุนไพรไทยเอาไว้อยู่ การตากแห้งเป้นวิธีถนอมอาหารอย่างหนึ่ง เพื่อนำมาใช้เป็นยา เวลาใช้ให้นำมาผลตากแห้งมาประมาณ 3 ผล แช่น้ำร้อนประมาณ 1 แก้วแล้วชงดื่ม โดยอาจผสมน้ำผึ้ง เติมเกลือเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ โดยให้ดื่มตอนท้องว่างหรือก่อนอาหารเช้า จะทำให้ละลายเสมหะ แก้เจ็บคอ ทำให้ชุ่มคอ

ผลสดหรือผลตากแห้ง อันนี้เป็นอีกสูตรไม่จำกัดว่าเป็นผลสด หรือผลตากแห้ง โดยสูตรนี้จะใช้ผลมะขามป้อมประมาณ 15 ลูก ต้มน้ำหนึ่งกา โดยดื่มต่างน้ำ เป็นยาบำรุงธาตุ (คำว่าธาตุในทางแพทย์แผนโบราณ หมายถึงระบบย่อยอาหาร และลำไส้นะครับ) ขับปัสสาวะ แก้หวัดคัดจมูก และบรรเทาอาการเจ็บคอ

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมะขามป้อม

นอกจากมะขามป้อมจะมีสรรพคุณทางสมุนไพรแล้ว ปัจจุบันก็มีการวิจัยถึงสรรพคุณของมะขามป้อมในเชิงลึกมากขึ้น เช่น

  1. มีสารต้านเชื้อไวรัส มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์    HIV – 1 Reverse Trascriptase (เหมือนในยาต้านไวรัสเอดส์)
  2. ผลของมะขามป้อม ลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร จะไปลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ที่จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
  3. ผลของมะขามป้อมมีสารบางตัวที่ ยับยั้งการเกิดความเป็นพิษ ในตับ และไต  ที่เกิดเนื่องมาจาก โลหะหนัก เช่นตะกั่ว  แดดเมียม (คนที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมมีความเสี่ยงต่อโลหะหนัก) ซึ่งวัดโดยการทดลองในหนูทดลอง
  4. มะขามป้อม มีสารที่ ลดการกลายพันธุ์ ลดการเกิดเกิด โครโมโซมที่ผิดปกติ ทำให้อัตราการกลายพันธ์ลดลง (การกลายกลายพันธ์นี้พูดถึงเรื่องความสมบูรณ์ของบุตร และการเกิดโรคทางพันธุกรรมต่างๆ)

นี่แหละครับเป็นสรรพคุณด้านสมุนไพรไทย รวมไปถึงงานวิจัยต่างๆ ของมะขามป้อม อ่านจบคงพอจะรู้แล้วว่านะครับว่า มะขามป้อมทำให้ ชุ่มคอชื่นใจ  ได้อย่างไร ปัจจุบันนี้มะขามป้อมก็ไม่ได้หายากอะไร เพราะมีการนำมาแปรรูป ตากแห้งแพ๊คใส่ถุงสวยงาม ติดฉลากบรรยายสรรพคุณเสร็จสรรพ ยังไงก็ลองหามาทานดูนะครับตามงาน OTOP หรือถ้าบ้านใครมีเป็นต้นเลย ยิ่งดีใหญ่ ลองเด็ดมาชิมดูบ้างก็คงไม่เสียหลาย

 

 

 

ต.ค. 162012
 

พูดถึงมะยม แค่พูดชื่อก็เปรี้ยวจี๊ดขึ้นมาแล้ว แต่ไม่ได้จี๊ดแค่ชื่อ สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยยังจัดว่าจ๊๊ดอีกด้วย (จี๊ด เป็นศัพท์วัยรุ่นนะครับ สำหรับท่านที่ไม่ทันเช่นผม จี๊ดมีความหมายประมาณว่าสุดๆไปเลย อะไรทำนองนี้) และด้วยความที่มะยมเป็นของหาง่าย ปลูกง่าย มะยมจึงจัดว่าเป็นพืชยอดนิยมเหมือนชื่อของมัน วันนี้เองผมจึงอยากแนะนำให้รู้ทุกท่านได้รู้จักมะยมกัน อย่างชนิดที่เรียกว่าหมดเปลือก(จริงๆมะยมก็ไม่มีเปลือก) มาดูว่าสรรพคุณของมันมีมากน้อยเพียงใด จี๊ด ดังที่ผมกล่าวไว้ในตอนแรกหรือเปล่า

ชื่อต่าง ๆ ของมะยม

มะยมชื่อโดยทั่วไป  มะยม  Star gooseberry  สังเกตุชื่อในภาษาอังกฤษตรงคำว่าเบอร์รี่ (berry)  ฝรั่งนี่ก็แปลกเห็นอะไรลูกเล็กๆ เล่นเรียก เบอร์รี่ ไปหมดทุกลูก

ชื่อทางวิทยาศาสตร์   Phyllanthus acidus Skeels

ชื่ออื่นๆตามท้องถิ่น    หมากยม (ภาคอิสาน)    ยม  (ภาคใต้)

ลักษณะทั่วไปของต้นมะยม

  • ลำต้น มะยมเป็นไม้ยืนต้น แบบต้นเตี๊ยหน่อย ก้สักสามเมตร แบบสูงสุดเท่าที่เคยเห็น ก็เกือบสิบเมตรได้ ลำต้นตรง แตกกิ่งก้านสาขาตรงปลายยอด กิ่งมะยมค่อนข้างเปราะ และแตกง่าย เปลือกของลำต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล
  • ใบมะยม ใบของมะยมเป็นใบย่อย ออกเรียงแบบสลับกันเป็นสองแถว แต่ละก้านมีใบย่อย 20-30 คู่ ขอบใบเรียบ (ยังจำก้านมะยมได้ไหม ตอนเด็กๆใครเคยโดนมั่ง)
  • ดอก ดอกมะยมออกเป็นช่อตามกิ่ง ดอกย่อยจะมีสีเหลืองอมน้้าตาล
  • ผลมะยม หรือลูกมะยม จะออกเป็นช่อตามกิ่ง เมื่ออ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือขาวแกมเหลือง หลุดจากช่อได้ง่าย

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยของมะยม

  • รากของมะยม  ใช้แก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน ซับน้ำเหลืองจากแผลให้แห้ง ดับพิษเสมหะ แก้ประดง*

* เพิ่มเติมข้อมูล โรคประดง คือ โรคผื่นคันตามผิวหนังหรือที่เรียกกันติดปากว่า “โรคประดง” ลักษณะของผื่น มีหลายแบบ เช่นอาจขึ้นเป็นผื่นเม็ดเล็กๆ คล้ายยุงกัดทั่วตัว หรือเป็นผื่นแดงเล็กๆ หรือขึ้นเป็นทางตามตัว  ผื่นเม็ดเล็กสีค่อนข้างขาว   หรือผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ   (ข้อมูลจาก http://www.numsai.com)

  • เปลือกของลำต้น  ใช้แก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ (สองอาการนี้น่าจะต่างกันที่ลำดับก่อนหลัง ของรอบเดือน และอาการไข้)และ แก้ผดผื่นคัน
  • ใบ  ใช้ปรุงเป็นส่วนประกอบของยาเขียว แก้ไข้ ดับพิษไข้ บำรุงประสาท โดยต้มร่วมกับใบหมากผู้หมากเมีย และใบมะเฟือง อาบแก้คัน ไข้หัด เหือด และสุกใส
  • ดอก ดอกสดใช้ต้มกรองเอาน้ำแก้โรคตา ชำระล้างดวงตา (สูตรนี้ไม่แนะนำนะครับ เรื่องของดวงตา อยากให้รักษาด้วยแผนปัจจุบันมากกว่า แต่ลงพอให้ทราบว่าว่าตำรายาสมุนไพรไทยสมัยก่อน เขามีสูตรนี้)
  • ผล ใช้กัดเสมหะ (ขับเสมหะ )แก้ไอ บำรุงโลหิต และเป็นยาระบาย

สูตรยาสมุนไพรไทยจากมะยม

  1. สูตรยาแก้โรคผิวหนัง ผดผื่นคัน ใช้ราก 1000 กรัม หรือ 1 กิโลกรัม ต้มกับน้ำ 10 ลิตร โดยต้มให้เดือด 5-10 นาที ทิ้งไว้ให้อุ่นใช้แช่อาบ (จะแช่ในกะละมัง หรืออ่างจากุ๊ดชี่ก็ตามสะดวก) ทำควบคู่ไปกับใช้รากฝนกับน้ำซาวข้าวทาวันละ 2-3 ครั้ง
  2. สูตรยาบำรุงโลหิต ยาอายุวัฒนะ ใช้ผลแก่ดองในน้ำเชื่อม (น้ำ 1ส่วนน้ำตาล 3 ส่วน) ดองจนครบสามวัน ทะยอยทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ
  3. สูตรยาลดความดันโลหิต ใช้ใบแก่พร้อมก้าน 1 กำมือ ใส่น้ำพอท่วม เติมน้ำตาลเล็กน้อยพอดับเฝื่อน ต้มให้เดือนาน 5 นาที แล้วดื่มควบคู่กับการวัดความดันไปด้วย เมื่อความดันเป็นปรกติ ต้องหยุดทาน  (เรื่องความดันโลหิตเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง ผมอยากให้สูตรนี้เป็นทางเลือกในการรักษามากกว่า หากท่านใดกำลังรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่ควรหยุดยาที่แพทย์จ่าย)

ข้อควรระวัง

น้ำยางจากเปลือกของรากมะยมมีพิษเล็กน้อย ถ้ารับประทานเข้าไปอาจมีอาการปวดท้อง ปวดศรีษะ และง่วงซึม ต้องระวังเรื่องยางจากเปลือกรากให้ดี

ขอบคุณข้อมูลจาก   thai Wikipedia ,หนังสือ สมุนไพรก้นครัว กินแล้วไม่ป่วย ภาพประกอบจาก biogang

ต.ค. 152012
 

วันนี้เราจะพามารู้จักพืชผักสมุนไพรไทย ชนิดหนึ่งกัน นั่นก็คือผักโขม หรือผักขมนั่นเองครับ ผักโขมนั้นมีหลายชนิด พอที่จะแยกได้ดังนี้

  •    ผักโขมบ้าน เป็นผักโขมชนิดที่ใบกลมเล็ก มีลำต้นขนาดเล็ก ก้านของใบเป็นสีแดง ใบมีสีเขียวเหลือบแดง
  •    ผักโขมหนาม มีลำต้นสูง ใบใหญ่ จะมีหนามที่ช่อของดอก จึงเป้นที่มาของชื่อ ผักโขมหนาม ใช้เฉพาะส่วนยอดอ่อนมาประกอบอาหาร
  •    ผักโขมสวน ใบมีสีเขียว บริเวณเส้นกลางใบมีสีแดง เมื่อปรุงสุกแล้ว จะมีสีแดงอมม่วง
  •    ผักโขมจีน เป็นผักโขมที่มีต้นใหญ่ ใบเป็นสีเขียวเข้มขอบใบหยัก ใบสดมีรสเผ็ด และมีกลิ่นฉุน


แต่ถ้าจะบอกว่าชนิดไหนเป็นที่นิยม ก็คงจะเป็น ผักโขมสวน เพราะมีใบที่โต และอ่อนนุ่ม รสชาติดี และมีคุณค่าทางอาหารทีสูงเอาเรื่อง เพราะในผักโขม อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด กรดโฟเลต วิตามินซี โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม สังกะสี และโปรตีน นี่แค่ย่อยๆ ที่เด็ดกว่านั้นล่ะ เรามาดูกัน

คุณค่าทางอาหารของผักโขมผักโขม

  1. ผักโขมยังมีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเป้นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม ในคุณสุภาพสตรี
  2. ผักโขมมีสาร ซาโปนิน(Saponin)ที่ช่วยลดคอเรสเตอรอล ในเลือดได้เป็นอย่างดี และยังช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์
  3. วิตามินเอในผักโขม ช่วยในการมองเห็น และช่วยบำรุงสายตา
  4. วิตามินซี นอกจากในเรื่องป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันแล้ว ยังช่วยเสริมสร้าคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
  5. ในผักโขมนั้นอุดมไปด้วยเส้นใย จึงช่วยในระบบขับถ่าย ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร

นอกจากผักโขมจะมีคุณค่าในด้านสารอาหารต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ผักโขมยังมีคุณค่าในด้านสมุนไพรไทยหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งตำราประมวลสรรพคุณยาไทย ของ สมาคมแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพน ได้กล่าวถึงประโยชน์ด้านสมุนไพรไทยของผักโขมเอาไว้ดังนี้

ผักโขมหัด(น่าจะเป็นผัโขมบ้าน) ใช้รากปรุงเป็นยาถอนพิษร้อนใน แก้ไข้ต่างๆ ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ เมื่อต้มเอาน้ำมาอาบ มีสรรพคุณในการแก้คันได้เป็นอย่างดี

ผักโขมหนาม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ตกเลือด แก้หนองใน แก้แน่นท้อง แก้กลากเกลื้อน ขับน้ำนม ระงับความร้อน แก้ไข้ แก้อาการลิ้นเป็นฝ้าในเด็ก

การนำผักโขมไปใช้ ประกอบอาหาร  

แกงเลียงผักโขมถ้าจะให้พูดคงหลายเมนู ยกตัวอย่างที่เด็ดๆแล้วกันนะครับเช่น ผักโขมผัดน้ำมันหอย แกงจืดผักโขมหมูบะช่อ สลักผักโขม ซุปผักโขม ยำผักโขม นำมาต้มจิ้มน้ำพริกต่างๆก็อร่อย นี่แค่อาหารไทย ถ้าใครไปทานในร้านพิซซ่า ก็จะเจอเมนูผักโขมอบชีส อันนี้ผมเคยลองแล้ว อร่อยไม่เบา อ้อลืมบอกในสมัยก่อน(จนถึงปัจจุบัน) นิยมทำแกงเลียงผักโขมให้แม่ที่พึงคลอดรับประทาน เพราะเชื่อกันว่าช่วยบำรุงเลือดและ เรียกน้ำนม ซึ่งความเชื่อนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงเพราะในผักโขมอุดมด้วยธาตุเหล็ก จึงสามารถช่วยตรงนี้ได้

 

ต.ค. 142012
 

รางจืด สมุนไพรไทยชนิดนี้มีพูดถึงกันมาก และค่อนข้างแพร่หลาย โดยเฉพาะในเรื่องของการล้างสารพิษในร่างกาย และการล้างสารพิษจากยาฆ่าแมลงต่างๆ นับว่าน่าสนใจทีเดียวกับวิถีชีวิต (life style) ของคนสมัยนี้ ที่ต้องผจญกับมลภาวะมากมาย เรามารู้จักกับสมุนไพรไทยชนิดนี้กันดีกว่านะครับ

ชื่อและลักษณะของรางจืด

รางจืดชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Thumbergia laurifolia Lindl.

ชื่อวงศ์ : Acanthaceae

ชื่อตามแต่ละภูมิภาค : กำลังช้างเผือก ขอบชะนาง เครือเขาเขียว (ภาคกลาง) ฮางจืด (ภาคเหนือ)

ลักษณะของต้นรางจืด

เป็นไม้เถาเลื้อย เนื้อแข็ง ใบลักษณะเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปขอบขนานหรือรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลมคล้ายใบย่านาง ดอก มีสีม่วงอมฟ้า ออกเป็นช่อห้อยลงตามซอกใบ ผล เป็นฝัก กลม ปลายเป็นจะงอยเมื่อออกผลจะแตกเป็น 2 แฉก ปัจจุบันนี้นิยมปลูกไว้ในบ้าน ให้ขึ้นตามรั้วหรือทำเป็นไม้กระถาง

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย

ใบและราก  ใช้พอกบาดแผลหรือเป็นยาถอนพิษไข้ ถอนพิษอาหาร หรือพิษเบื่อเมา (อาการที่เกิดหรือดื่มเหล้ามากเกิน)

ใช้ราก ถอนพิษเบื่อเมา ถ้าให้ได้ผลดีต้องมีอายุเกิน 1 ปี ขึ้นไป ใช้ประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ นำมาฝนกับน้ำซาวข้าว จะทำให้พิษเจือจางและถอนพิษออก

ใบ ใช้ถอนพิษไข้ พิษเบื่อเมาจากการรับประทานของแสลง ใช้ใบสดประมาณ 10-15 ใบ นำมาตำให้ละเอียดคั้นน้ำซาวข้าวดื่มทุกๆ 2 ชั่วโมง

 รางจืดกับผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์      

นอกจากสรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยแล้ว ทุกวันนี้มีการวิจัยลงลึกไปกว่านั้น ในด้านสรรพคุณของรางจืด ลองมาดูนะครับว่ามีงานวิจัยสรรพคุณของรางจืดอย่างไรบ้าง

รางจืด เป็นสมุนไพรไทยที่ได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่า สามารถบรรเทาอาการท้องร่วง ท้องเสีย  ลดอาการแพ้ ผื่นคัน แก้พิษยาฆ่าแมลงในสัตว์ เช่นกรณีมีการวางยาสุนัขก็มีการเอารางจืดมาแก้พิษ แก้พิษจากสารเคมีในยากำจัดศัตรูพืช แก้พิษสารเคมีต่างๆ  พิษแอลกอฮอล์ พิษสุราเรื้อรัง พิษสะสมในร่างกาย ผมคิดเล่นๆนะครับหากตามโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆที่พนักงานต้องเผชิญสารพิษ น่าจะทำเป็นสวัสดิการ แจกสมุนไพรจากรางจืดให้พนักงานคงดีไม่น้อย (แต่การแก้ที่แหล่งกำเนิดที่ปล่อยสารเคมี ก็ยังเป็นวิธีที่ผมเห็นด้วยมากกว่า)

ปัจจุบันมีผู้นำรางจืดมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพหลากหลายเช่น ชาจากรางจืด นำสกัดต่างๆ  ใบรางจืดอบแห้ง กระทั่งทำเป็นแคปซูลเลยก็มี ลองหาดูได้ตามงาน OTOP ต่างๆน่าจะหาได้ไม่ยาก

สุดท้ายเป็นเรื่องของความเชื่อการดื่มเหล้า ว่าหากนำรางจืดมาเคี้ยวเพื่อดับฤทธิ์แอลกอฮอล์ เพื่อทำให้ดื่มได้นานขึ้น พูดง่ายคือทำให้คอแข็งว่างั้นเถอะ แต่ยังไม่เคยมีการศึกษาวิจัยมาก่อนและความเชื่ออันนี้ผมไม่ค่อยจะแนะนำเท่าไหร่ หากสนใจจะรักษาสุขภาพจริงๆ ไม่ดื่มเหล้าจะดีกว่า หรือดื่มก็พอประมาณกับสุขภาพ และเงินในกระเป๋าจะดีกว่า

ทั้งหมดนี้คือเรื่องของรางจืด สมุนไพรไทยที่นำมาฝากกัน

ต.ค. 142012
 

ขิง เป็นพืชสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่ค่อนข้างแพร่หลาย ปัจจุบันกระแสของการดูแลสุขภาพมาแรง เราจึงเห็นขิงโดยเฉพาะ ขิงผง อยู่ในอันดับต้นๆของ list ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ จะว่าไปแล้วนั้นขิงเองก็จัดเป็นพืชที่ค่อนข้างอินเตอร์ตัวหนึ่ง เพราะนอกจากไทยแล้วขิงยังเป็นพืชสมุนไพร ที่มีอยู่ในสูตรยาของแพทย์ท้องถิ่นในหลายๆประเทศ เช่นที่อินเดีย ในจีน บางภูมิภาคของญี่ปุ่น เลยไปจนถึงกรีก (ไปไกลถึงยุโรปเลย)

ก่อนที่จะรู้จักสรรพคุณเรามารู้จักขิงกันก่อนนะครับว่ามันมีลักษณะเป็นอย่างไร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : zingiber offcinale Roscoe

ชื่อโดยทั่วไป:  ขิง หรือ Ginger (ยกตัวอย่างเช่น Ginger bread = ขนมปังขิง)

วงศ์:  Zingiber

ชื่อท้องถิ่นตามแต่ละภูมิภาค  ขิงแครง ขิงเขา ขิงบ้าน ขิงป่า  ขิงดอกเดียว(ภาคกลาง) ขิงแดง ขิงแกลง(จันทบุรี) ขิงเผือก(เชียงใหม่)

ลักษณะของขิง

 ขึงนั้นปลูกง่าย และขึ้นได้ทุกภาคในประเทศไทย

ขิงลำต้นของขิง ขิงเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นใต้ดินเรียกว่า เหง้า  จะมีลักษณะคล้ายมือ   เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อน แต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว ขิงจัดเป็นพืชจำพวกเดียวกันกับข่า ขมิ้น จะเห็นได้จากสำนวนไทยที่ว่า ขิงก็รา ข่าก็แรงของมันมาคู่กันจริงๆครับ ขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง มีรสเผ็ดและกลิ่นหอม แต่ยิ่งแก่ยิ่งมีรสเผ็ดร้อน(ขิงแก่จึงเป็นที่มาของสำนวนที่ใช้เรียกคนที่มีอายุแต่ยิ่งเก่งยิ่งมากด้วยประสบการณ์) ลำต้นบนดินมีลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90 เซนติเมตร

ใบของขิง  ใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม

ดอกของขิง ดอกมีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้นซึ่งไม่มีใบที่ก้านดอก ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบๆดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด ผลมีลักษณะกลมแข็ง

ขิงนั้นนิยมนำมาปรุงเป็นอาหาร จัดเป็นเครื่องเทศชั้นดีเพื่อตัดกลิ่นคาวและเพิ่มรสชาติของอาหาร และที่สำคัญยังใช้เป็นยายาสมุนไพร ในปัจจุบันนิยมนำมาแปรรูปเป็นขิงผงบรรจุซอง ง่ายต่อการรับประทาน ตาม concept อาหารสมัยนี้คือฉีกซองเติมน้ำร้อน

สรรพคุณทางสมุนไพรไทย

ขิงตามตำราสมุนไพรไทยนั้น  มีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น และยังแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้นิ่ว บำรุงธาตุไฟ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้บิด และทำให้ร่างกายอบอุ่นในทางยานิยมใช้ขิงแก่ และในขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและมีใยอาหารมาก

สูตรยาสมุนไพรไทยจากขิง

  • แก้อาเจียน นำเหง้าสดย่างไฟให้สุก ตำผสมกับน้ำปูนใส คั้นเอาแต่น้ำดื่มหรือน้ำเหง้าสดหมกไฟ รับประทานเมื่อมีอาการเบื่ออาหาร
  • ขับลมในกระเพาะ โดยนำขิงมาทุบชงกับน้ำร้อน หรือ นำขิงมา 1 แง่ง ใช้ต้มกับน้ำ 1  ใช้ดื่ม หรือถ้าจะให้เติมน้ำตาลทรายเพื่อเพิ่มรสชาติได้
  • รักษาไข้หวัด โดยนำขิงแก่สด 7 กรัม และขิงแห้ง 2 กรัม ต้มกับน้ำตาลทรายแดง ดื่มเพื่อรักษาอาการ หรือใช้ขิงแก่ 2-3 เหง้า นำมาทุบให้ละเอียดต้มกับน้ำอาบเพื่อขับเหงื่อลดอาการไข้(อุณภูมิของร่างกาย )เนื่องจากหวัด
  • รักษาอาการไอ ขับเสมหะ โดยนำขิงสดมาคั้นน้ำให้ได้ประมาณ 1/2 ถ้วย ผสมน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ต้มกับน้ำ 2 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้ง หรือใช้ขิงสดฝนกับมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย โดยจิบบ่อยๆ
  • รักษาอาการปวดประจำเดือนในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน โดยนำขิงแห้งประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำ เพื่อดื่มบ่อยๆ
  • แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง โดยใช้ขิงแห้งบดชงกับน้ำอุ่น ดื่มวันละ 1 ครั้ง
  • รักษาแผลที่เกิดจากไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก โดยตำขิงสดให้ละเอียด นำกากมาพอกที่แผลเพื่อบรรเทาอาการอักเสบของแผล
  • รักษาอาการปวดฟัน โดยนำขิงแก่ทุบให้ละเอียดคั่วกับน้ำสารส้มจนเกรียม แล้วบดจนเป็นผง พอกบริเวณที่ปวด (แต่สุตรนี้แนะนำให้จัดการกับต้นเหตุโดยพบทันแพทย์จะดีกว่านะครับ)

นอกจากสรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของขิงแล้วนั้น ยังมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับขิง ทางเภสัชวิทยาเท่าที่วิจัยพบแล้วมีดังนี้

1. ลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล โดยการลดดูดซึมโคเลสเตอรอลจากอาหารในลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่าย

2. ป้องกันฟันผุ

3. ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด

4. บรรเทาอาการไอได้

5. ป้องกันและบำบัดอาการปวดศีรษะจากไมเกรนได้ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์มากปัจจุบันพบโรคนี้ได้มากในคนทำงาน

6. ลดการหลั่งกรดของกระเพาะอาหารเมื่อลดการหลั่งจึงช่วยบรรเทาในเรื่องโรคกระเพาะอาหาร

7. ช่วยลดความอยากของอาการติดยาเสพติดได้ ซึ่งว่าจะลองมาใช้กับอาการติด facebook ดู

8. มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ช่วยระงับการชักในสัตว์ทดลอง, เสริมฤทธิ์ของยานอนหลับ กลุ่ม BARBITURATE บรรเทาปวดลดไข้, ลดอาการเวียนศีรษะ

9. ออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย

นี่แหละครับคือทั้งหมดของ สิ่ง(พืช)เล็กๆที่เรียกว่า ขิง อ่านจบลองเดินไป 7-11 หรือร้านใกล้บ้าน หาขิงผงมาทานดูสักห่อก็ดีนะครับ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง

หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว ตู้ยาข้างบ้าน   ,ขิง สมุนไพรสารพัดประโยชน์ กองบก.ใกล้หมอ   ,สมุนไพร 200 ชนิด สมเด็จพระเทพฯ

 

 

ใบเตย สมุนไพรไทยกลิ่นหอมชื่นใจ

 ขับปัสสาวะ, บำรุงหัวใจ, พืชสมุนไพร, รักษาเบาหวาน  ปิดความเห็น บน ใบเตย สมุนไพรไทยกลิ่นหอมชื่นใจ
ต.ค. 132012
 

หากพูดถึงใบเตย ( ที่ไม่ใช่นักร้อยค่ายอาร์สยามสุดเซ็กซี่ ) ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านการทาน น้ำต้มใบเตยมาแล้วบ้าง ไม่มากก็น้อย ถ้าแบบธรรมดา คือต้มน้ำใส่ใบเตยแล้วทานเพื่อเพิ่มความหอม ถ้าแบบฮาร์ดคอร์หน่อยคือทานน้ำใบเตยกับเหล้าดองยากันบาดคอ  ด้วยกลิ่นหอมที่ชื่นใจ ใบเตยจึงเป็นพืชที่ได้รับความนิยม นอกจากกลิ่นหอมแล้วนั้นใบเตยยังคงคุณค่าความเป็นสมุนไพรไทยอีกหลายอย่าง

มารู้จักใบเตยกันก่อน

ใบเตย จริงๆก็แปลกนะครับ พืชชนิดนี้มันก็ไม่ได้ชื่อว่าใบเตยด้วยซ้ำ แต่ชื่อว่าจริงๆคือ เตย หรือ เตยหอม ซึ่งไม่ค่อยมีคนเรียก นิยมเรียกใบเตยเสียมากกว่า บางครั้งเห็นคนเรียกต้นใบเตยเลยก็มี แต่สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะส่วนของพืชที่คนนำมาใช้ประโยชน์มากที่สุด คือใบของต้นเตยนั่นเอง

  • ชื่อโดยทั่วไป  เตย , เตยหอม ,Pandanus Palm , Fragrant Pandan,Pandom wangi
  • ชื่อวิทยาศาสตร์ของเตย  Pandanus amaryllifolius? Roxb.

 

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย ของใบเตย

ตามตำราสมุนไพรไทยโบราณ ใบเตยมีสรรพคุณ บำรุงหัวใจ และช่วยลดการกระหายน้ำ กลิ่นหอมเฉพาะตัวของใบเตย เมื่อนำไปต้มน้ำจะรู้สึกชุ่มคอ และให้ความสดชื่นนอกจากนี้ยังมีการนำปคั้นน้าผสมกับขนมไทย เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม และเพิ่มสีเขียวแบบธรมมชาติไปในตัว  ส่วนรากของใบเตย (ต้นเตย)สามารถนำมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้ และจากการศึกษาพบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี เรื่องลดระดับน้ำตาลในเลือด หากสนใจลองอ่านบทความนี้เพิ่มเติมดูนะครับ  “สูตรยาสมุนไพรลดระดับน้ำตาลในเลือด

สูตรยาสมุนไพรไทยจากใบเตย

ใช้เป้นยาบำรุงหัวใจ โดยใช้ใบสดเอาแค่ประมาณ 1 กำ นำมาบดให้ละเอียด คั้นเอาน้ำ อาจต้มใส่น้ำตาล เล็กน้อยเพื่อรสชาติที่ดี โดยดื่มครั้งละ 1 แก้ว จะทำให้ร่างกายสดชื่น และสามารถบำรุงหัวใจได้

ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ  โดยใช้ใบสดพอประมาณ (อาจสัก 3-5 ใบ)หั่นเป็นท่อน แล้วนำมาต้มดื่มแทนน้ำ ประมาณ2-3 วัน หรืออาจดื่มสัปดาห์เว้นสัปดาห์ จะช่วยขับปัสสาวะและช่วยบำรุงธาตุ

ทั้งหมดนี้คือ สรรพคุณของใบเตยที่นำมาฝากกัน หากบ้านใครมี หรือระแวกบ้านมี จะนำมาลองต้มทานดูก็ไม่สิทธิ์นะครับ