เพชรสังฆาต ริดสีดวงหายขาดด้วยสมุนไพรไทย

 พืชสมุนไพร, รักษาริดสีดวงทวาร  ปิดความเห็น บน เพชรสังฆาต ริดสีดวงหายขาดด้วยสมุนไพรไทย
ต.ค. 192012
 

หากใครจำโฆษณาเมื่อหลายปีก่อนได้ (น่าจะมากกว่า10 ปี) ก็คงจะจำประโยคสุดขำที่ว่า “ก็ลมมันเย็น”ได้ดี สำหรับคนที่นึกออกก็คงร้องอ๋อ ใช่ครับมันคือโฆษณายาแก้ริดสีดวงทวารนั่นเอง  หากพูดถึงริดสีดวงทวาร นับว่าเป็นโรคที่สร้างความทุกทรมานให้คนเป็นจำนวนมาก ก่อนจะพูดถึงหัวข้อต่อไป ขออนุญาต พูดถึงโรคริดสีดวงทวารกันก่อนเล็กน้อย

   ริดสีดวงทวารคือ การที่เส้นเลือดดำ รอบๆทวารหนักเกิดการโป่งพองขึ้น ทำให้เกิดอาการริดสีดวงทวารขึ้น  ซึ่งอาการเริ่มต้นจะมีตั้งแต่คันที่ปากทวารหนัก จนไปถึงเจ็บทวารหนักเวลาขับถ่าย หรือบางทีมีเลือดปนมากับอุจจาระ  ลักษณะเป็นเลือดสดๆหลังการขับถ่าย จะว่าไปอาการค่อนข้างน่ากลัวนะครับ ใครที่เคยเป็นคงทราบถึงความทุกทรมานดี ส่วนสาเหตุที่เป็นนั้นส่วนใหญ่เกิดมาจากพฤติกรรมการขับถ่าย หรืออาการท้องผูกเรื้อรัง ทำให้ต้องใช้กำลังภายในในการเบ่งมาก (พูดเหมือนหนังจีนเลย)จึงทำให้เส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักเกิดการโป่งพองจนกลายมาเป็นโรคริดสีดวงในที่สุด

เมื่อเรารู้จักโรคริดสีดวงทวารแล้ว เราก็มารู้จักกับทางแก้หรือทางรักษากันบ้าง ซึ่งมีอยู่สองทาง ทางแรกคือทานยา รายละเอียดผมไม่ขอกล่าว ส่วนอีกทางหนึ่งคือ การใช้สมุนไพรไทย ซึ่งสมุนไพรไทยที่จะแก้อาการนี้ได้แบบที่เรียกว่าได้ผลดีก็คือ “เพชรสังฆาต”นั่นเองครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามารู้จักสมุนไพรชนิดนี้กันเลย

เพชรสังฆาตชื่อทางวิทยาศาสตร์  Cissus quadrangulalis L.

ชื่อวงศ์  TITACEAE

ชื่ออื่นๆ สันชะควด สามร้อยข้อ พญาร้อยปล้อง (สองชื่อหลังนี้บ่งบอกลักษณะของเพชรสังฆาตได้ดีมากๆ)

ลักษณะโดยทั่วไปของเพชรสังฆาต

  • ลำต้น  เพชรสังฆาตนั้นมีลักษณะเป็นไม้เถาเลื้อย อวบน้ำ ลำต้นเป็นปล้องยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ลักษณะจะเป็นเหลี่ยม มีมือเกาะตรงข้อ ใช้ยึดเกาะ บางข้อก็จะเป็นลักษณะ รากอากาศงอกออกมา
  • ใบ  ลักษณะใบจะเป็นใบเดี่ยว ออกข้อละ 1 ใบ  ดอกจะมีขนาดเล็ก สีแดง ออกตรงข้ามใบ
  • ผล  เพชรสังฆาตมีผลขนาดเล็กออกตรงโคนกลีบดอก เมื่อสุกจะสีแดง สุกมากๆจะมีสีดำ

การใช้เป็นยาสมุนไพรไทย

วิธีการใช้รักษาโรคริดสีดวง จะใช้เพชรสังฆาตสดหนึ่งปล้อง  แต่เนื่องจาก เพชรสังฆาตมีรสขม และคันคอมาก หากรับประทานไปตรงๆ ปากอาจจะพองได้ แถมยังคันคอมากอีกด้วย คล้ายกับเวลาเราทานพืชจำพวกบอน ฉะนั้นจึงแนะนำให้ ตัดเถาสดเป็นปล้องเล็กๆ ปล้องละ 1 เซนติเมตร หุ้มด้วยกล้วยสุก หรือมะขามเปียก แล้วกลืนวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นหลังอาหาร โดยให้ทานติดต่อกัน 10 วันจึงจะเห็นผล ถ้ายังไม่หายดี หรือหายขาด แนะนำ ให้ทานต่ออีก 5 วัน

อีกวิธี เป็นวิธีการใช้เพชรสังฆาต แบบแห้ง โดยให้ใช้เพชรสังฆาตไปตากแห้ง จากนั้นนำมาบดใส่แคปซูลเบอร์ 2 (หาซื้อได้ตามร้านขายยา) จะได้ผงยานี้ 250 มิลลิกรัม โดยให้รับประทานครั้งละสองแคปซูล วันละ 4 ครั้งก่อนอาหาร และ ก่อนนอน โดยรับประทานติดต่อกัน 1 สัปดาห์ อาการจะดีขึ้น ถ้าเริ่มหายดีแล้ว ให้รับประทานติดต่อกันอีก 7 วันจะทำให้หายขาด

เป็นยังไงบ้างครับกับวิธีการรักษาริดสีดวงทวารโดยใช้สมุนไพรไทยที่ชื่อ เพชรสังฆาต น่าสนใจไหม สุดท้ายของฝากนิดนึง หากใครเป็นโรคริดสีดวงทวารแล้วรักษาหาย ไม่ว่าจะทานยา หรือใช้สมุนไพรก็ตาม ท่านยังมีโอกาศที่จะกลับมาเป็นอีก แนะนำวิธีป้องกันที่ได้ผลดีที่สุดคือ ให้เราเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการขับถ่าย โดยขับถ่ายให้สม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีกากใยมากๆ รับรอง ริดสีดวงทวารจะไม่กลับมาหาท่านอีก

 

 

ต.ค. 182012
 

วันนี้เราพูดถึงพืชชนิดหนึ่งกัน เป็นพืชทั่วๆไป ที่พบได้ง่าย(ตาม concept ของเว็บเรา )แต่เปี่ยมไปด้วยสรรพคุณของสมุนไพรไทย พืชชนิดนั้นก็คือมะเฟืองนั่นเองครับ  คิดว่าหลายท่านคงเคยทานกันมาแล้วบ้าง วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงมะเฟืองกัน มาดูกันว่า มะเฟืองที่แสนธรรมดา แฝงคุณค่าความเป็นสมุนไพรไทยอะไรให้เราบ้าง ซึ่งตามธรรมเนียมนิยมอยากรู้จักใคร หรืออยากรู้จักอะไรต้องรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันก่อน งั้นเริ่มที่ชื่อต่างๆ ของมะเฟืองแล้วกันนะครับ

มะเฟืองชื่อโดยทั่วไป       มะเฟือง   Star fruit   (star = ดาว ตรงตัวดีไหมครับ ถ้ามองทั้งลูกไม่ออกว่ามะเฟืองเหมือนดาวยังไง แนะนำให้ผ่าตามขวางดูแล้วจะรู้)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของมะเฟือง    acerrhoa carambola L.

ชื่อวงศ์   AVERRHOACEAE

ลักษณะโดยทั่วไปของต้นมะเฟือง

  • ลำต้น มะเฟืองจัดเป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลาง ไม่สูงไม่เตี้ย ประมาณ 3-10 เมตร ลำต้นเปราะแตกง่าย
  • ใบมะเฟือง  มะเฟืองมีใบประกอบขนนก มองไปมองมาก็ดูคล้ายใบของต้นมะยม
  • ดอก มะเฟืองมีดอกสี ม่วงขาว ออกไปทางชมพู ดอกจะออกเป็นพวง
  • ผลของมะเฟือง  เมื่อเริ่มออกผลจะเป้นสีเขียว แต่พอเริ่มสุขจะค่อยๆเป็นสีเหลือง(แต่ขอบของผลโดยมากจะยังเป็นสีเขียว) มะเฟืองมีผลฉ่ำน้ำ มีรสเปรี้ยว อมหวาน

สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของมะเฟือง

มะเฟืองมีสรรพคุณอยู่หลายด้าน อาทิเช่น แก้ร้อนใน บำรุงธาตุ บำรุงร่างกาย แก้อ่อนเหลีย ลดความร้อนในร่างกาย ขับเสมหะ ป้องกันโรคโลหิตจาง ขับปัสสาวะ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ทำให้ร่างกายผ่อนคลายและช่วยให้นอนหลับ บรรเทานิ่วในทางเดินปัสสาวะ   เป็นไงหละครับเยอะดีไหม

ในการบรรเทาอาการที่ได้กล่าวมา ผู้รู้ได้ให้ข้อแนะนำเพิ่มดังนี้

– การรับประทานมะเฟืองสด เวลาเกิดอาการ เช่นทานเพื่อบรระเทาอาการปัสสาวะขัด ควรทานมะเฟืองหรือน้ำมะเฟืองติดต่อกันประมาณ 15 วันเป็นอย่างน้อย หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น

– การดื่มมะเฟืองเพื่อผ่อนคลาย หรือช่วยให้หลับสบายนั้น แนะนำให้ดื่มวันละ 1 แก้วหลังอาหารเย็น ในมะเฟืองมีสารที่ทำให้นอนหลับสนิทจะช่วยตรงนี่ได้

– มะเฟืองสามผล จะคั้นน้ำได้มากถึง 1 แก้ว ก่อนทานแนะนำให้เติมเกลือเล็กน้อย จะทำให้ทานง่ายขึ้น

ทั้งหมดนี้แหละครับคือสรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของมะเฟือง ยังไงลองหามาทานกันดูนะครับ

ต.ค. 172012
 

พูดถึงมะขามป้อมเชื่อว่าทุกคน คงรู้จักแน่ ส่วนคำว่า “ชุ่มคอ ชื่นใจ” ในหัวข้อของเรื่องนี้หล่ะ หลายคนอาจจะจะนึกไม่ถึงว่ามะขามป้อมนี่นะ ทำให้ชุ่มคอชื่นใจได้ ไม่ใช่หมากหอมเยาวราชซะหน่อย แต่มันก็ป็นเรื่องจริงครับ สรรพคุณทางสมุนไพรไทยของมะขามป้อมทำให้เราชุ่มคอ ชื่นใจได้จริงๆ เรามารู้จักมะขามป้อมกันเถอะ

มะขามป้อมชื่อโดยทั่วไป Emblic myrablan , Ma-lacca tree.

ชื่อวิทยาศาสตร์ของมะขามป้อม Phyllanthus emblica L.

เป็นพืชวงศ์   EUPHORBIACEAE

ลักษณะของมะขามป้อม

มะขามป้อมนั้นเป็นไม้ทนแล้ง (น้ำน้อยก็ปลูกได้ มะขามป้อมเอาอยู่ แต่ถ้าน้ำมากเหมือนที่ กทม.ตอนปี 54 ไม่รู้จะเอาอยู่หรือเปล่า) ต้นมะขามป้อมสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นเป็นสีเทาอมน้ำตาล ใบเป็นใบเรียงเดี่ยว เรียวสลับกัน ออกดอกเป็นช่อ ผลอ่อนมีสีเหลืองเขียว พอเริ่มแก่ผลจะเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยของมะขามป้อม

เมื่อเรารู้จักกับลักษณะของต้นมะขามป้อมแล้ว คราวนี้ก็ถึงที ที่เราจะรู้จักกับสรรพคุณของมะขามป้อมบ้าง มาดูกันเลยนะครับว่ามะขามป้อมมีดียังไง

ผลสด รับประทานวันละ 1-2 ลูก ทำให้ชุ่มคอ คิดว่าถ้าเคยทานคงจำความรู้สึกได้ ตอนกินจะรู้สึกเปรี้ยวๆฝาดๆ แต่พอทานน้ำตามเท่านั้นแหละ จะรู้สึกหวานและชุ่มคอมาก ตามตำราสมุนไพรไทย มีสูตรอยู่ว่า ให้นำมะขามป้อมผลสดจำนวน 10 ผล มาบดและคั้นน้ำผสมน้ำผึ้ง เติมเกลือนิดหน่อย ดื่มวันละครั้ง จะเป็นยา แก้ไอ ขับเสมหะชั้นเลิศ นอกจากนั้นยังทำให้ร่างกายสดชื่น ต้านอนุมูลอิสระ (ตำรายาสมุนไพรไทยไม่ได้บอกถึงการต้านอนุมูลอิสระเอาไว้นะครับ เรื่องต้านอนมูลอิสระเป็นข้อมูลจากงานวิจัยสมัยใหม่ )

ผลมะขามป้อมตากแห้ง แม้จะตากแห้ง แต่ยังคงฤทธิ์ของสมุนไพรไทยเอาไว้อยู่ การตากแห้งเป้นวิธีถนอมอาหารอย่างหนึ่ง เพื่อนำมาใช้เป็นยา เวลาใช้ให้นำมาผลตากแห้งมาประมาณ 3 ผล แช่น้ำร้อนประมาณ 1 แก้วแล้วชงดื่ม โดยอาจผสมน้ำผึ้ง เติมเกลือเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ โดยให้ดื่มตอนท้องว่างหรือก่อนอาหารเช้า จะทำให้ละลายเสมหะ แก้เจ็บคอ ทำให้ชุ่มคอ

ผลสดหรือผลตากแห้ง อันนี้เป็นอีกสูตรไม่จำกัดว่าเป็นผลสด หรือผลตากแห้ง โดยสูตรนี้จะใช้ผลมะขามป้อมประมาณ 15 ลูก ต้มน้ำหนึ่งกา โดยดื่มต่างน้ำ เป็นยาบำรุงธาตุ (คำว่าธาตุในทางแพทย์แผนโบราณ หมายถึงระบบย่อยอาหาร และลำไส้นะครับ) ขับปัสสาวะ แก้หวัดคัดจมูก และบรรเทาอาการเจ็บคอ

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมะขามป้อม

นอกจากมะขามป้อมจะมีสรรพคุณทางสมุนไพรแล้ว ปัจจุบันก็มีการวิจัยถึงสรรพคุณของมะขามป้อมในเชิงลึกมากขึ้น เช่น

  1. มีสารต้านเชื้อไวรัส มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์    HIV – 1 Reverse Trascriptase (เหมือนในยาต้านไวรัสเอดส์)
  2. ผลของมะขามป้อม ลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร จะไปลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ที่จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
  3. ผลของมะขามป้อมมีสารบางตัวที่ ยับยั้งการเกิดความเป็นพิษ ในตับ และไต  ที่เกิดเนื่องมาจาก โลหะหนัก เช่นตะกั่ว  แดดเมียม (คนที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมมีความเสี่ยงต่อโลหะหนัก) ซึ่งวัดโดยการทดลองในหนูทดลอง
  4. มะขามป้อม มีสารที่ ลดการกลายพันธุ์ ลดการเกิดเกิด โครโมโซมที่ผิดปกติ ทำให้อัตราการกลายพันธ์ลดลง (การกลายกลายพันธ์นี้พูดถึงเรื่องความสมบูรณ์ของบุตร และการเกิดโรคทางพันธุกรรมต่างๆ)

นี่แหละครับเป็นสรรพคุณด้านสมุนไพรไทย รวมไปถึงงานวิจัยต่างๆ ของมะขามป้อม อ่านจบคงพอจะรู้แล้วว่านะครับว่า มะขามป้อมทำให้ ชุ่มคอชื่นใจ  ได้อย่างไร ปัจจุบันนี้มะขามป้อมก็ไม่ได้หายากอะไร เพราะมีการนำมาแปรรูป ตากแห้งแพ๊คใส่ถุงสวยงาม ติดฉลากบรรยายสรรพคุณเสร็จสรรพ ยังไงก็ลองหามาทานดูนะครับตามงาน OTOP หรือถ้าบ้านใครมีเป็นต้นเลย ยิ่งดีใหญ่ ลองเด็ดมาชิมดูบ้างก็คงไม่เสียหลาย

 

 

 

ต.ค. 162012
 

พูดถึงมะยม แค่พูดชื่อก็เปรี้ยวจี๊ดขึ้นมาแล้ว แต่ไม่ได้จี๊ดแค่ชื่อ สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยยังจัดว่าจ๊๊ดอีกด้วย (จี๊ด เป็นศัพท์วัยรุ่นนะครับ สำหรับท่านที่ไม่ทันเช่นผม จี๊ดมีความหมายประมาณว่าสุดๆไปเลย อะไรทำนองนี้) และด้วยความที่มะยมเป็นของหาง่าย ปลูกง่าย มะยมจึงจัดว่าเป็นพืชยอดนิยมเหมือนชื่อของมัน วันนี้เองผมจึงอยากแนะนำให้รู้ทุกท่านได้รู้จักมะยมกัน อย่างชนิดที่เรียกว่าหมดเปลือก(จริงๆมะยมก็ไม่มีเปลือก) มาดูว่าสรรพคุณของมันมีมากน้อยเพียงใด จี๊ด ดังที่ผมกล่าวไว้ในตอนแรกหรือเปล่า

ชื่อต่าง ๆ ของมะยม

มะยมชื่อโดยทั่วไป  มะยม  Star gooseberry  สังเกตุชื่อในภาษาอังกฤษตรงคำว่าเบอร์รี่ (berry)  ฝรั่งนี่ก็แปลกเห็นอะไรลูกเล็กๆ เล่นเรียก เบอร์รี่ ไปหมดทุกลูก

ชื่อทางวิทยาศาสตร์   Phyllanthus acidus Skeels

ชื่ออื่นๆตามท้องถิ่น    หมากยม (ภาคอิสาน)    ยม  (ภาคใต้)

ลักษณะทั่วไปของต้นมะยม

  • ลำต้น มะยมเป็นไม้ยืนต้น แบบต้นเตี๊ยหน่อย ก้สักสามเมตร แบบสูงสุดเท่าที่เคยเห็น ก็เกือบสิบเมตรได้ ลำต้นตรง แตกกิ่งก้านสาขาตรงปลายยอด กิ่งมะยมค่อนข้างเปราะ และแตกง่าย เปลือกของลำต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล
  • ใบมะยม ใบของมะยมเป็นใบย่อย ออกเรียงแบบสลับกันเป็นสองแถว แต่ละก้านมีใบย่อย 20-30 คู่ ขอบใบเรียบ (ยังจำก้านมะยมได้ไหม ตอนเด็กๆใครเคยโดนมั่ง)
  • ดอก ดอกมะยมออกเป็นช่อตามกิ่ง ดอกย่อยจะมีสีเหลืองอมน้้าตาล
  • ผลมะยม หรือลูกมะยม จะออกเป็นช่อตามกิ่ง เมื่ออ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือขาวแกมเหลือง หลุดจากช่อได้ง่าย

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยของมะยม

  • รากของมะยม  ใช้แก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน ซับน้ำเหลืองจากแผลให้แห้ง ดับพิษเสมหะ แก้ประดง*

* เพิ่มเติมข้อมูล โรคประดง คือ โรคผื่นคันตามผิวหนังหรือที่เรียกกันติดปากว่า “โรคประดง” ลักษณะของผื่น มีหลายแบบ เช่นอาจขึ้นเป็นผื่นเม็ดเล็กๆ คล้ายยุงกัดทั่วตัว หรือเป็นผื่นแดงเล็กๆ หรือขึ้นเป็นทางตามตัว  ผื่นเม็ดเล็กสีค่อนข้างขาว   หรือผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ   (ข้อมูลจาก http://www.numsai.com)

  • เปลือกของลำต้น  ใช้แก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ (สองอาการนี้น่าจะต่างกันที่ลำดับก่อนหลัง ของรอบเดือน และอาการไข้)และ แก้ผดผื่นคัน
  • ใบ  ใช้ปรุงเป็นส่วนประกอบของยาเขียว แก้ไข้ ดับพิษไข้ บำรุงประสาท โดยต้มร่วมกับใบหมากผู้หมากเมีย และใบมะเฟือง อาบแก้คัน ไข้หัด เหือด และสุกใส
  • ดอก ดอกสดใช้ต้มกรองเอาน้ำแก้โรคตา ชำระล้างดวงตา (สูตรนี้ไม่แนะนำนะครับ เรื่องของดวงตา อยากให้รักษาด้วยแผนปัจจุบันมากกว่า แต่ลงพอให้ทราบว่าว่าตำรายาสมุนไพรไทยสมัยก่อน เขามีสูตรนี้)
  • ผล ใช้กัดเสมหะ (ขับเสมหะ )แก้ไอ บำรุงโลหิต และเป็นยาระบาย

สูตรยาสมุนไพรไทยจากมะยม

  1. สูตรยาแก้โรคผิวหนัง ผดผื่นคัน ใช้ราก 1000 กรัม หรือ 1 กิโลกรัม ต้มกับน้ำ 10 ลิตร โดยต้มให้เดือด 5-10 นาที ทิ้งไว้ให้อุ่นใช้แช่อาบ (จะแช่ในกะละมัง หรืออ่างจากุ๊ดชี่ก็ตามสะดวก) ทำควบคู่ไปกับใช้รากฝนกับน้ำซาวข้าวทาวันละ 2-3 ครั้ง
  2. สูตรยาบำรุงโลหิต ยาอายุวัฒนะ ใช้ผลแก่ดองในน้ำเชื่อม (น้ำ 1ส่วนน้ำตาล 3 ส่วน) ดองจนครบสามวัน ทะยอยทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ
  3. สูตรยาลดความดันโลหิต ใช้ใบแก่พร้อมก้าน 1 กำมือ ใส่น้ำพอท่วม เติมน้ำตาลเล็กน้อยพอดับเฝื่อน ต้มให้เดือนาน 5 นาที แล้วดื่มควบคู่กับการวัดความดันไปด้วย เมื่อความดันเป็นปรกติ ต้องหยุดทาน  (เรื่องความดันโลหิตเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง ผมอยากให้สูตรนี้เป็นทางเลือกในการรักษามากกว่า หากท่านใดกำลังรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่ควรหยุดยาที่แพทย์จ่าย)

ข้อควรระวัง

น้ำยางจากเปลือกของรากมะยมมีพิษเล็กน้อย ถ้ารับประทานเข้าไปอาจมีอาการปวดท้อง ปวดศรีษะ และง่วงซึม ต้องระวังเรื่องยางจากเปลือกรากให้ดี

ขอบคุณข้อมูลจาก   thai Wikipedia ,หนังสือ สมุนไพรก้นครัว กินแล้วไม่ป่วย ภาพประกอบจาก biogang

ต.ค. 152012
 

วันนี้เราจะพามารู้จักพืชผักสมุนไพรไทย ชนิดหนึ่งกัน นั่นก็คือผักโขม หรือผักขมนั่นเองครับ ผักโขมนั้นมีหลายชนิด พอที่จะแยกได้ดังนี้

  •    ผักโขมบ้าน เป็นผักโขมชนิดที่ใบกลมเล็ก มีลำต้นขนาดเล็ก ก้านของใบเป็นสีแดง ใบมีสีเขียวเหลือบแดง
  •    ผักโขมหนาม มีลำต้นสูง ใบใหญ่ จะมีหนามที่ช่อของดอก จึงเป้นที่มาของชื่อ ผักโขมหนาม ใช้เฉพาะส่วนยอดอ่อนมาประกอบอาหาร
  •    ผักโขมสวน ใบมีสีเขียว บริเวณเส้นกลางใบมีสีแดง เมื่อปรุงสุกแล้ว จะมีสีแดงอมม่วง
  •    ผักโขมจีน เป็นผักโขมที่มีต้นใหญ่ ใบเป็นสีเขียวเข้มขอบใบหยัก ใบสดมีรสเผ็ด และมีกลิ่นฉุน


แต่ถ้าจะบอกว่าชนิดไหนเป็นที่นิยม ก็คงจะเป็น ผักโขมสวน เพราะมีใบที่โต และอ่อนนุ่ม รสชาติดี และมีคุณค่าทางอาหารทีสูงเอาเรื่อง เพราะในผักโขม อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด กรดโฟเลต วิตามินซี โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม สังกะสี และโปรตีน นี่แค่ย่อยๆ ที่เด็ดกว่านั้นล่ะ เรามาดูกัน

คุณค่าทางอาหารของผักโขมผักโขม

  1. ผักโขมยังมีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเป้นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม ในคุณสุภาพสตรี
  2. ผักโขมมีสาร ซาโปนิน(Saponin)ที่ช่วยลดคอเรสเตอรอล ในเลือดได้เป็นอย่างดี และยังช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์
  3. วิตามินเอในผักโขม ช่วยในการมองเห็น และช่วยบำรุงสายตา
  4. วิตามินซี นอกจากในเรื่องป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันแล้ว ยังช่วยเสริมสร้าคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
  5. ในผักโขมนั้นอุดมไปด้วยเส้นใย จึงช่วยในระบบขับถ่าย ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร

นอกจากผักโขมจะมีคุณค่าในด้านสารอาหารต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ผักโขมยังมีคุณค่าในด้านสมุนไพรไทยหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งตำราประมวลสรรพคุณยาไทย ของ สมาคมแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพน ได้กล่าวถึงประโยชน์ด้านสมุนไพรไทยของผักโขมเอาไว้ดังนี้

ผักโขมหัด(น่าจะเป็นผัโขมบ้าน) ใช้รากปรุงเป็นยาถอนพิษร้อนใน แก้ไข้ต่างๆ ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ เมื่อต้มเอาน้ำมาอาบ มีสรรพคุณในการแก้คันได้เป็นอย่างดี

ผักโขมหนาม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ตกเลือด แก้หนองใน แก้แน่นท้อง แก้กลากเกลื้อน ขับน้ำนม ระงับความร้อน แก้ไข้ แก้อาการลิ้นเป็นฝ้าในเด็ก

การนำผักโขมไปใช้ ประกอบอาหาร  

แกงเลียงผักโขมถ้าจะให้พูดคงหลายเมนู ยกตัวอย่างที่เด็ดๆแล้วกันนะครับเช่น ผักโขมผัดน้ำมันหอย แกงจืดผักโขมหมูบะช่อ สลักผักโขม ซุปผักโขม ยำผักโขม นำมาต้มจิ้มน้ำพริกต่างๆก็อร่อย นี่แค่อาหารไทย ถ้าใครไปทานในร้านพิซซ่า ก็จะเจอเมนูผักโขมอบชีส อันนี้ผมเคยลองแล้ว อร่อยไม่เบา อ้อลืมบอกในสมัยก่อน(จนถึงปัจจุบัน) นิยมทำแกงเลียงผักโขมให้แม่ที่พึงคลอดรับประทาน เพราะเชื่อกันว่าช่วยบำรุงเลือดและ เรียกน้ำนม ซึ่งความเชื่อนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงเพราะในผักโขมอุดมด้วยธาตุเหล็ก จึงสามารถช่วยตรงนี้ได้

 

ต.ค. 142012
 

รางจืด สมุนไพรไทยชนิดนี้มีพูดถึงกันมาก และค่อนข้างแพร่หลาย โดยเฉพาะในเรื่องของการล้างสารพิษในร่างกาย และการล้างสารพิษจากยาฆ่าแมลงต่างๆ นับว่าน่าสนใจทีเดียวกับวิถีชีวิต (life style) ของคนสมัยนี้ ที่ต้องผจญกับมลภาวะมากมาย เรามารู้จักกับสมุนไพรไทยชนิดนี้กันดีกว่านะครับ

ชื่อและลักษณะของรางจืด

รางจืดชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Thumbergia laurifolia Lindl.

ชื่อวงศ์ : Acanthaceae

ชื่อตามแต่ละภูมิภาค : กำลังช้างเผือก ขอบชะนาง เครือเขาเขียว (ภาคกลาง) ฮางจืด (ภาคเหนือ)

ลักษณะของต้นรางจืด

เป็นไม้เถาเลื้อย เนื้อแข็ง ใบลักษณะเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปขอบขนานหรือรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลมคล้ายใบย่านาง ดอก มีสีม่วงอมฟ้า ออกเป็นช่อห้อยลงตามซอกใบ ผล เป็นฝัก กลม ปลายเป็นจะงอยเมื่อออกผลจะแตกเป็น 2 แฉก ปัจจุบันนี้นิยมปลูกไว้ในบ้าน ให้ขึ้นตามรั้วหรือทำเป็นไม้กระถาง

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย

ใบและราก  ใช้พอกบาดแผลหรือเป็นยาถอนพิษไข้ ถอนพิษอาหาร หรือพิษเบื่อเมา (อาการที่เกิดหรือดื่มเหล้ามากเกิน)

ใช้ราก ถอนพิษเบื่อเมา ถ้าให้ได้ผลดีต้องมีอายุเกิน 1 ปี ขึ้นไป ใช้ประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ นำมาฝนกับน้ำซาวข้าว จะทำให้พิษเจือจางและถอนพิษออก

ใบ ใช้ถอนพิษไข้ พิษเบื่อเมาจากการรับประทานของแสลง ใช้ใบสดประมาณ 10-15 ใบ นำมาตำให้ละเอียดคั้นน้ำซาวข้าวดื่มทุกๆ 2 ชั่วโมง

 รางจืดกับผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์      

นอกจากสรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยแล้ว ทุกวันนี้มีการวิจัยลงลึกไปกว่านั้น ในด้านสรรพคุณของรางจืด ลองมาดูนะครับว่ามีงานวิจัยสรรพคุณของรางจืดอย่างไรบ้าง

รางจืด เป็นสมุนไพรไทยที่ได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่า สามารถบรรเทาอาการท้องร่วง ท้องเสีย  ลดอาการแพ้ ผื่นคัน แก้พิษยาฆ่าแมลงในสัตว์ เช่นกรณีมีการวางยาสุนัขก็มีการเอารางจืดมาแก้พิษ แก้พิษจากสารเคมีในยากำจัดศัตรูพืช แก้พิษสารเคมีต่างๆ  พิษแอลกอฮอล์ พิษสุราเรื้อรัง พิษสะสมในร่างกาย ผมคิดเล่นๆนะครับหากตามโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆที่พนักงานต้องเผชิญสารพิษ น่าจะทำเป็นสวัสดิการ แจกสมุนไพรจากรางจืดให้พนักงานคงดีไม่น้อย (แต่การแก้ที่แหล่งกำเนิดที่ปล่อยสารเคมี ก็ยังเป็นวิธีที่ผมเห็นด้วยมากกว่า)

ปัจจุบันมีผู้นำรางจืดมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพหลากหลายเช่น ชาจากรางจืด นำสกัดต่างๆ  ใบรางจืดอบแห้ง กระทั่งทำเป็นแคปซูลเลยก็มี ลองหาดูได้ตามงาน OTOP ต่างๆน่าจะหาได้ไม่ยาก

สุดท้ายเป็นเรื่องของความเชื่อการดื่มเหล้า ว่าหากนำรางจืดมาเคี้ยวเพื่อดับฤทธิ์แอลกอฮอล์ เพื่อทำให้ดื่มได้นานขึ้น พูดง่ายคือทำให้คอแข็งว่างั้นเถอะ แต่ยังไม่เคยมีการศึกษาวิจัยมาก่อนและความเชื่ออันนี้ผมไม่ค่อยจะแนะนำเท่าไหร่ หากสนใจจะรักษาสุขภาพจริงๆ ไม่ดื่มเหล้าจะดีกว่า หรือดื่มก็พอประมาณกับสุขภาพ และเงินในกระเป๋าจะดีกว่า

ทั้งหมดนี้คือเรื่องของรางจืด สมุนไพรไทยที่นำมาฝากกัน

ต.ค. 142012
 

ขิง เป็นพืชสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่ค่อนข้างแพร่หลาย ปัจจุบันกระแสของการดูแลสุขภาพมาแรง เราจึงเห็นขิงโดยเฉพาะ ขิงผง อยู่ในอันดับต้นๆของ list ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ จะว่าไปแล้วนั้นขิงเองก็จัดเป็นพืชที่ค่อนข้างอินเตอร์ตัวหนึ่ง เพราะนอกจากไทยแล้วขิงยังเป็นพืชสมุนไพร ที่มีอยู่ในสูตรยาของแพทย์ท้องถิ่นในหลายๆประเทศ เช่นที่อินเดีย ในจีน บางภูมิภาคของญี่ปุ่น เลยไปจนถึงกรีก (ไปไกลถึงยุโรปเลย)

ก่อนที่จะรู้จักสรรพคุณเรามารู้จักขิงกันก่อนนะครับว่ามันมีลักษณะเป็นอย่างไร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : zingiber offcinale Roscoe

ชื่อโดยทั่วไป:  ขิง หรือ Ginger (ยกตัวอย่างเช่น Ginger bread = ขนมปังขิง)

วงศ์:  Zingiber

ชื่อท้องถิ่นตามแต่ละภูมิภาค  ขิงแครง ขิงเขา ขิงบ้าน ขิงป่า  ขิงดอกเดียว(ภาคกลาง) ขิงแดง ขิงแกลง(จันทบุรี) ขิงเผือก(เชียงใหม่)

ลักษณะของขิง

 ขึงนั้นปลูกง่าย และขึ้นได้ทุกภาคในประเทศไทย

ขิงลำต้นของขิง ขิงเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นใต้ดินเรียกว่า เหง้า  จะมีลักษณะคล้ายมือ   เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อน แต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว ขิงจัดเป็นพืชจำพวกเดียวกันกับข่า ขมิ้น จะเห็นได้จากสำนวนไทยที่ว่า ขิงก็รา ข่าก็แรงของมันมาคู่กันจริงๆครับ ขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง มีรสเผ็ดและกลิ่นหอม แต่ยิ่งแก่ยิ่งมีรสเผ็ดร้อน(ขิงแก่จึงเป็นที่มาของสำนวนที่ใช้เรียกคนที่มีอายุแต่ยิ่งเก่งยิ่งมากด้วยประสบการณ์) ลำต้นบนดินมีลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90 เซนติเมตร

ใบของขิง  ใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม

ดอกของขิง ดอกมีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้นซึ่งไม่มีใบที่ก้านดอก ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบๆดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด ผลมีลักษณะกลมแข็ง

ขิงนั้นนิยมนำมาปรุงเป็นอาหาร จัดเป็นเครื่องเทศชั้นดีเพื่อตัดกลิ่นคาวและเพิ่มรสชาติของอาหาร และที่สำคัญยังใช้เป็นยายาสมุนไพร ในปัจจุบันนิยมนำมาแปรรูปเป็นขิงผงบรรจุซอง ง่ายต่อการรับประทาน ตาม concept อาหารสมัยนี้คือฉีกซองเติมน้ำร้อน

สรรพคุณทางสมุนไพรไทย

ขิงตามตำราสมุนไพรไทยนั้น  มีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น และยังแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้นิ่ว บำรุงธาตุไฟ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้บิด และทำให้ร่างกายอบอุ่นในทางยานิยมใช้ขิงแก่ และในขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและมีใยอาหารมาก

สูตรยาสมุนไพรไทยจากขิง

  • แก้อาเจียน นำเหง้าสดย่างไฟให้สุก ตำผสมกับน้ำปูนใส คั้นเอาแต่น้ำดื่มหรือน้ำเหง้าสดหมกไฟ รับประทานเมื่อมีอาการเบื่ออาหาร
  • ขับลมในกระเพาะ โดยนำขิงมาทุบชงกับน้ำร้อน หรือ นำขิงมา 1 แง่ง ใช้ต้มกับน้ำ 1  ใช้ดื่ม หรือถ้าจะให้เติมน้ำตาลทรายเพื่อเพิ่มรสชาติได้
  • รักษาไข้หวัด โดยนำขิงแก่สด 7 กรัม และขิงแห้ง 2 กรัม ต้มกับน้ำตาลทรายแดง ดื่มเพื่อรักษาอาการ หรือใช้ขิงแก่ 2-3 เหง้า นำมาทุบให้ละเอียดต้มกับน้ำอาบเพื่อขับเหงื่อลดอาการไข้(อุณภูมิของร่างกาย )เนื่องจากหวัด
  • รักษาอาการไอ ขับเสมหะ โดยนำขิงสดมาคั้นน้ำให้ได้ประมาณ 1/2 ถ้วย ผสมน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ต้มกับน้ำ 2 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้ง หรือใช้ขิงสดฝนกับมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย โดยจิบบ่อยๆ
  • รักษาอาการปวดประจำเดือนในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน โดยนำขิงแห้งประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำ เพื่อดื่มบ่อยๆ
  • แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง โดยใช้ขิงแห้งบดชงกับน้ำอุ่น ดื่มวันละ 1 ครั้ง
  • รักษาแผลที่เกิดจากไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก โดยตำขิงสดให้ละเอียด นำกากมาพอกที่แผลเพื่อบรรเทาอาการอักเสบของแผล
  • รักษาอาการปวดฟัน โดยนำขิงแก่ทุบให้ละเอียดคั่วกับน้ำสารส้มจนเกรียม แล้วบดจนเป็นผง พอกบริเวณที่ปวด (แต่สุตรนี้แนะนำให้จัดการกับต้นเหตุโดยพบทันแพทย์จะดีกว่านะครับ)

นอกจากสรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของขิงแล้วนั้น ยังมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับขิง ทางเภสัชวิทยาเท่าที่วิจัยพบแล้วมีดังนี้

1. ลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล โดยการลดดูดซึมโคเลสเตอรอลจากอาหารในลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่าย

2. ป้องกันฟันผุ

3. ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด

4. บรรเทาอาการไอได้

5. ป้องกันและบำบัดอาการปวดศีรษะจากไมเกรนได้ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์มากปัจจุบันพบโรคนี้ได้มากในคนทำงาน

6. ลดการหลั่งกรดของกระเพาะอาหารเมื่อลดการหลั่งจึงช่วยบรรเทาในเรื่องโรคกระเพาะอาหาร

7. ช่วยลดความอยากของอาการติดยาเสพติดได้ ซึ่งว่าจะลองมาใช้กับอาการติด facebook ดู

8. มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ช่วยระงับการชักในสัตว์ทดลอง, เสริมฤทธิ์ของยานอนหลับ กลุ่ม BARBITURATE บรรเทาปวดลดไข้, ลดอาการเวียนศีรษะ

9. ออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย

นี่แหละครับคือทั้งหมดของ สิ่ง(พืช)เล็กๆที่เรียกว่า ขิง อ่านจบลองเดินไป 7-11 หรือร้านใกล้บ้าน หาขิงผงมาทานดูสักห่อก็ดีนะครับ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง

หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว ตู้ยาข้างบ้าน   ,ขิง สมุนไพรสารพัดประโยชน์ กองบก.ใกล้หมอ   ,สมุนไพร 200 ชนิด สมเด็จพระเทพฯ

 

 

ใบเตย สมุนไพรไทยกลิ่นหอมชื่นใจ

 ขับปัสสาวะ, บำรุงหัวใจ, พืชสมุนไพร, รักษาเบาหวาน  ปิดความเห็น บน ใบเตย สมุนไพรไทยกลิ่นหอมชื่นใจ
ต.ค. 132012
 

หากพูดถึงใบเตย ( ที่ไม่ใช่นักร้อยค่ายอาร์สยามสุดเซ็กซี่ ) ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านการทาน น้ำต้มใบเตยมาแล้วบ้าง ไม่มากก็น้อย ถ้าแบบธรรมดา คือต้มน้ำใส่ใบเตยแล้วทานเพื่อเพิ่มความหอม ถ้าแบบฮาร์ดคอร์หน่อยคือทานน้ำใบเตยกับเหล้าดองยากันบาดคอ  ด้วยกลิ่นหอมที่ชื่นใจ ใบเตยจึงเป็นพืชที่ได้รับความนิยม นอกจากกลิ่นหอมแล้วนั้นใบเตยยังคงคุณค่าความเป็นสมุนไพรไทยอีกหลายอย่าง

มารู้จักใบเตยกันก่อน

ใบเตย จริงๆก็แปลกนะครับ พืชชนิดนี้มันก็ไม่ได้ชื่อว่าใบเตยด้วยซ้ำ แต่ชื่อว่าจริงๆคือ เตย หรือ เตยหอม ซึ่งไม่ค่อยมีคนเรียก นิยมเรียกใบเตยเสียมากกว่า บางครั้งเห็นคนเรียกต้นใบเตยเลยก็มี แต่สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะส่วนของพืชที่คนนำมาใช้ประโยชน์มากที่สุด คือใบของต้นเตยนั่นเอง

  • ชื่อโดยทั่วไป  เตย , เตยหอม ,Pandanus Palm , Fragrant Pandan,Pandom wangi
  • ชื่อวิทยาศาสตร์ของเตย  Pandanus amaryllifolius? Roxb.

 

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย ของใบเตย

ตามตำราสมุนไพรไทยโบราณ ใบเตยมีสรรพคุณ บำรุงหัวใจ และช่วยลดการกระหายน้ำ กลิ่นหอมเฉพาะตัวของใบเตย เมื่อนำไปต้มน้ำจะรู้สึกชุ่มคอ และให้ความสดชื่นนอกจากนี้ยังมีการนำปคั้นน้าผสมกับขนมไทย เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม และเพิ่มสีเขียวแบบธรมมชาติไปในตัว  ส่วนรากของใบเตย (ต้นเตย)สามารถนำมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้ และจากการศึกษาพบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี เรื่องลดระดับน้ำตาลในเลือด หากสนใจลองอ่านบทความนี้เพิ่มเติมดูนะครับ  “สูตรยาสมุนไพรลดระดับน้ำตาลในเลือด

สูตรยาสมุนไพรไทยจากใบเตย

ใช้เป้นยาบำรุงหัวใจ โดยใช้ใบสดเอาแค่ประมาณ 1 กำ นำมาบดให้ละเอียด คั้นเอาน้ำ อาจต้มใส่น้ำตาล เล็กน้อยเพื่อรสชาติที่ดี โดยดื่มครั้งละ 1 แก้ว จะทำให้ร่างกายสดชื่น และสามารถบำรุงหัวใจได้

ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ  โดยใช้ใบสดพอประมาณ (อาจสัก 3-5 ใบ)หั่นเป็นท่อน แล้วนำมาต้มดื่มแทนน้ำ ประมาณ2-3 วัน หรืออาจดื่มสัปดาห์เว้นสัปดาห์ จะช่วยขับปัสสาวะและช่วยบำรุงธาตุ

ทั้งหมดนี้คือ สรรพคุณของใบเตยที่นำมาฝากกัน หากบ้านใครมี หรือระแวกบ้านมี จะนำมาลองต้มทานดูก็ไม่สิทธิ์นะครับ

 

ต.ค. 112012
 

ชะพลู คิดว่าคนที่เคยทานเมี่ยง แหนมคลุก คงรู้จักสมุนไพรไทยชนิดนี้กันดี ด้วยความหอมและรสชาติที่โดดเด่น เหมือนถูกดีไซน์มาไว้ทานกับอาหารพวกนี้โดยเฉพาะ ผมเองก็เป็นคงหนึ่งที่ชอบมาก (คิดแล้วน้ำลายไหล) แต่นอกจากรสชาติและความเข้ากันกับอาหารจำพวกเมี่ยงนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่คู่กันคือคุณค่าของชะพลู สมุนไพรไทยชนิดนี้มีดีตรงไหนบ้างเราลองมาดูกัน

ลักษณะของชะพลู

ชะพลูชื่อวิทยาศาสตร์ของชะพลู Piper sarmentosum Roxb.

ชื่อวงศ์   Piperaceae

ชื่ออื่นๆ   ปูนก,ปูลิง (ทางภาคเหนือ)  ,ช้าพลู (ภาคกลาง) ,นมวา(ภาคใต้) และผักอีเลิศ (ทางอิสาน)

จะเห็นได้ว่าชะพลูมีชื่อเฉพาะ หรือชื่อท้องถิ่นอยู่แทบทุกภาค ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชะพลู เป็นสมุนไพรไทยที่มีแพร่กระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ  ชะพลูเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นเถาไม้รวมกันอยู่เป็นกลุ่ม ลำต้นแบ่งเป็นข้อ ที่พิเศษคือตามข้อจะมีราก ไว้ช่วยลำต้นยึดเกาะ

คุณค่าทางอาหารของชะพลู

ชะพลูนอกจากทานได้อร่อยแล้วนั้นยังมีคุณค่าทางอาหารอีกเพียบ เช่นแคลเซียมที่ช่วยบำรุงระบบกระดูก วิตามินเอที่สูงมากเป็นพิเศษ จึงบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี และยังมีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด  เส้นใยที่ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย และยังมีสารครอโรฟิล*

*บางคนอาจบอกว่า ครอโรฟิลมีประโยชน์ยังไง เราไม่ใช่ต้นไม้สักหน่อย ไม่ต้องใช้สังเคราะห์แสง …จริงๆมันมีประโยชน์หลายอย่างนะครับ จากการศึกษาจะพบว่าสามารถช่วยลดการดูดซึมสารก่อมะเร็งของร่างกาย ทำให้ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลงได้ รวมถึงมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ไว้มีโอกาศจะเขียนเรื่องครอโรฟิล แบบเจาะลึกนะครับ

สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของชะพลู

ตามตำราสมุนไพรไทย บอกเอาไว้ว่าชะพลูมีสรรพคุณในการบำรุงธาตุ แก้จุกเสียด ขับลมในลำไส้ ลดความดันโลหิต และด้วยการที่ชะพลูมีรสเผ็ดร้อนจึงช่วยขับเสมหะได้เป็นอย่างดี

ข้อควรระวังในการรับประทานชะพลู

จริงๆแล้ว มันก็จากประโยชน์ของมันนั่นแหละ ก็ด้วยการที่ชะพลูมีแคลเซียมสูง หากเราทานจำนวนมาก และติดต่อกันนานนาน จะทำให้แคลเซียมสะสม กลายเป็นแคลเซียมออกซาเลท ซึ่งอาจทำให้เป็นนิ่วในไตได้ แต่หากเราทานพอดีพอดี เช่นอาทิตย์นึงทานครั้ง หรือทานบ่อย ๆแต่ทานครั้งละไม่กี่ใบ และทานร่วมกับอาหารอื่นจะทำให้เราได้ใช้แคลเซียมจากชะพลูได้อย่างเต็มที่ และไม่เป็นโทษต่อร่างกาย (ทุกอย่างต้องอยู่บนเส้นทางของความพอดี)

 

ต.ค. 102012
 

จากที่เคยเขียนเรื่อง สูตรสมุนไพรไทยบำรุงสายตา  จากผักบุ้งไปแล้วนั้น วันนี้เลยจะขอเจาะลึกถึงพืชชนิดนี้ เพราะนอกจากสรรพคุณในด้านการบำรุงสายตาแล้วผักบุ้งยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆอีกมาก แน่นอนครับ เราไม่เน้นที่ผักบุ้งจีน แต่เราเน้นที่ผักบุ้งนา หรือผักบุ้งแดง ที่พบได้ตามริมรั้วโดยทั่วไป

มารู้จักผักบุ้งกัน

ผักบุ้งชื่อโดยทั่วไป : ผักบุ้ง  , Woolly Morning-Glory  ( Morning-Glory เป็นดอกไม้ของต่างประเทศ รูปร่างเหมือนดอกผักบุ้งบ้านเราเปี๊ยบ)

ชื่ออื่นๆของผักบุ้ง : ผักทอดยอด(ตามที่อ.ภาษาไทยสอนแต่ทำไมไม่ค่อยมีคนใช้คำนี้เช่น แม่ค้าเอาผักทอดยอดกำนึง ) , ผักบุ้งแดง, ผักบุ้งไทย, ผักบุ้งนา

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Ipomoea aquatica Forsk., I.reptans (Linn.) Poir

วงศ์ของพืช : CONVOLVULACEAE

ลักษณะทั่วไป :

ผักบุ้งเป็นพืชน้ำ และเป็นพืชล้มลุก ลำต้นเลือยทอดไปตามน้ำหรือดิน ทีชื้นแฉะ

ต้น : มีเนื้ออ่อนลำต้นจะกลวงและมีปล้อง เป็นสีเขียว หรืออาจเป็นสีน้ำตาลแดง

ใบ : มีสีเขียวเข้ม เป็นรูปสามเหลี่ยมมุมแหลมคล้ายหอก เป็นไม้ใบเดี่ยวออกสลับทิศทางกันตามข้อต้น ใบยาว 4-8 เซนติเมตร

ดอก : ลักษณะ ของดอกเป็นรูประฆัง มีสีขาว หรือม่วงอ่อน ด้านโคนดอกสีจะเข้มกว่าด้านนอก ดอกบานเต็มที่ประมาณ 3-5 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปีในช่วงฤดูร้อนจะออกมากหน่อย

ประโยชน์ทางด้านสมุนไพรไทยของผักบุ้ง

ใบผักบุ้ง ผักบุ้งนั้นตามตำราสมุนไพรไทยเขาว่ามีรสเย็นจืด สรรพคุณคือถอนพิษเบื่อเมา รากมีรสจืดเฝื่อน มีสรรพคุณถอนพิษผิดสำแดง อาหารเป็นพิษ
ดอกผักบุ้ง เฉพาะดอกตูมใช้รักษาโรคผิวหนังเช่น กลากเกลื้อน  หรืออาจใช้ตำพอกรักษาโรคริดสีดวงทวาร

สารอาหารที่พบได้ในผักบุ้ง

ในผักบุ้งมีสารอาหารหลายชนิด ที่เป็นจุดเด่นของผักบุ้งเลยคือ วิตามินเอ ที่มีมากถึง 11447 IU* ซึ่งช่วยในการมองเห็น

(*IU ย่อมาจาก international unit เป็นหน่วยสากล เฉพาะวิตามินเอ หนึ่ง IU เท่ากับ  0.3 ไมโครกรัม เรตินอลหรือ 0.6 ไมโครกรัมของเบต้าแครอทีน)

นอกจากนั้นยังมี เส้นใย  ซึ่งช่วยในระบบขับถ่าย แคลเซียม บำรุงกระดูกและฟัน  ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 และวิตามินซี

รู้คุณค่าอย่างนี้แล้ว มาทานผักบุ้งกันเยอะๆนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก EN-wikipedia ,หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว ตู้ยาข้างบ้าน

ต.ค. 102012
 

หากพูดถึงผลไม้ที่เนื้อในเป็นสีเหลือง หลายคนคงบอกว่ามีเยอะ ถ้าถ้าบอกว่า พืชที่เป็นทั้งผักและผลไม้ และมีสีเหลืองหล่ะ แน่นอนคำตอบคือหัวข้อของเราในวันนี้ ฟักทองนั่นเองครับ สำหรับฟักทองนั้นเราสามารถใช้เป็นผักได้เช่นเอามาแกง อย่างนี้เขาเรียกฟังทองเป็นผัก แต่ถ้าเอามานึ่งทานทำขนม อันนี้จะกลายเป็นผลไม้ทันที แต่ไม่ว่าจะเป็นผักหรือผลไม้ ฟักทองนั้นเป้นพืชที่มีคุณค่าสูงตัวหนึ่งที่เราควรทำความรู้จัก ทั้งในแง่ของสารอาหารและในแง่ของพืช สมุนไพรไทย

มารู้จักกับฟักทองกัน

ฟักทองชื่อโดยทั่วไป  ฟักทอง , Pumpkin

ชื่อทางวิทยาศาสตร์   Cucurbita maxima Duchesne.

ชื่อวงศ์   CUCURBITACEAE

ชื่อตามภูมิภาคหรือตามท้องถิ่น

หมากอึ (ภาคอิสาน) มะฟักแก้ว (ภาคเหนือ) มะน้ำแก้ว (เลย) น้ำเต้า (ภาคใต้) หมักอื้อ (เลย-ปราจีนบุรี) หมากฟักเหลือง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) เหลืองเคล่า หมักคี้ล่า

ลักษณะของฟักทอง

ต้น เป็นพรรณไม้ล้มลุก(สู้ไม่ถอยอีกแล้ว)  ที่มีลำต้นเป็น เถาอาศัยเลื้อยไปตามพื้นดิน หรือหลักยึดต่างๆเช่นริมรั่ว หรือค้างที่คนทำไว้ให้  ตามเถาจะมีมือเอาไว้เกาะยึดสิ่งต่างๆ เพื่อความมั่นคงของต้น เถามีขนาดยาว ใหญ่ และมีขน ปกคลุม อยู่ มีสีเขียว

ใบ ออกใบเดี่ยว ตามลำเถา ใบของฝัก ทองเป็นแผ่นใหญ่สีเขียว แยกออกเป็น 5 หยักและมีขนสาก ๆ มือ ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งใบ

ดอก ออกดอกเดี่ยวตามง่ามใบ และที่ ส่วนยอดของเถา ลักษณะของดอกเป็นรูปกระดิ่ง หรือระฆังสีเหลือง ในดอกตัวเมียเมื่อบานเต็มที่แล้ว จะมองเห็นผลเล็กๆ เป็นกระเปาะติดอยู่ใต้ดอก

ผล มีขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นพูกลมจะมี ส่วยใหญ่เป็นทรงแบน และมีทรงสูงอยู่บ้าง เปลือกของผลจะแข็ง ผิวลักษณะขรุขระ มีทั้งสีเขียวหรือสีน้ำตาลแดงก็ตามแต่พันธ์ของฟักทอง เนื้อในผลสีเหลือง มีเมล็ดสีขาว  นึกไม่ออกนึกถึงเมล็ดฟักทองตามือ (เจ้าของบริษัทผ่านมาอ่าน ขอค่าโฆษณาด้วยนะครับ)

คุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยของฟักทอง

เนื่องจากประโยชน์ของฟักทองมีมากมายจริงๆ จึงขอแยกย่อยเป็นข้อๆและคัดมาเฉพาะส่วนสำคัญให้ได้อ่านกัน

1.ฟักทองนั้นเป็นพืชที่ให้พลังงานต่ำ อาจขัดกับความคิดของหลายๆคน แต่จากการวิจัยเทียบกับพืชชนิดอื่นถือว่าต่ให้พลังงานต่ำ มีไขมันน้อย จึงเหมาะแก่คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก (ทานฟักทองเป็นมื้อหลักช่วยควบคุมน้ำหนักได้ แต่ทานฟักทองเป็นของหวาน หลังจากทานข้าวขาหมูเสร็จ ฟักทองไม่ช่วยอะไรนะครับ) อีกทั้งฟักทองยังมีกากไยมากสามรถช่วยระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี

2.คาร์โบไฮเดรตในฟักทอง ช่วยรักษาและบรรเทาอาการ แผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้ในส่วนบนได้ด้วย คนที่เป็นโรคกระเพาะแนะนำเลยครับ ทานฟักทองนึ่งไปไม่ผิดหวัง อาการปวดท้องของท่านจะบรรเทาเบาบาง แบบไม่ต้องพึ่งแอนตาซิล (เชยเนาะสมัยนี้เขาต้อง กราวิสคอนแล้ว) แต่ถ้าเป็นมากๆแนะนำให้หาหมอนะครับ

3.จากการวิจัยพบว่า สามารถช่วยบรรเทาอาการหอบหืดที่เกิดจากหลอดลมอักเสบในผู้สูงอายุได้

4.หากรับประทานฟักทองทั้งเปลือกจะสามรถกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารที่ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย หากขาดสารตัวนี้ หรือการหลั่งอินซูลินผิดปรกติ จะทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้การรับประทานทั้งเปลือกยัง สามรถควบคุมความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพได้อีกด้วย

5.ในฟักทองมีคอลลาเจนตามธรรมชาติ จะช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส (แต่ไม่ถึงขั้นขาววิ้งนะครับ)

6.สตรีหลังคลอดบุตรหากทางฟักทอง ซึ่งตามตำราสมุนไพรไทยเขาเรียก”มีฤทธิ์อุ่น” จะช่วยย่อยอาหารทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง และลดการอักเสบ แก้ปวดได้ดีมากๆ

นี่แหละครับประโยชน์ของผลฟักทอง แต่ยัง ยังไม่หมดนอกจากผลแแล้วส่วนอื่นๆของฟักทองก็มีประโยชน์ไม่น้อย ลองมาดูกัน

  • ใบอ่อนของฟักทอง (ใบแก่ไม่พูดถึงนะครับเพราะทานลำบาก) เชื่อหรือไม่ว่าในใบอ่อนมีวิตามินซีสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง นอกจากนั้นยังมีฟอสฟอรัส สูงกว่าในเนื้อฟักทองเสียอีก
  • ดอกของฟักทอง ในดอกมีวิตามิน A แคงเซียม และฟอสฟอรัส แถมยังมีวิตามินซีด้วยเล็กน้อย
  • เมล็ดฟักทอง ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน และที่สำคัญยังมีสารที่ชื่อ คิวเคอร์บิตาซิน ( Cucurbitacin ) สารตัวนี้สามรถกำจัดพยาธิจำพวกพยาธิตัวตืดได้อีกด้วย และเมล็ดฟักทองยังมีสรรพคุณขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว และป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เป็นอย่างดี
  • น้ำมันจากเมล็ดดอกฟังทอง ช่วยบำรุงประสาทได้ดี อีกทั้งยังมีกรดอะมิโนบางชนิด ที่ป้องกันต่อมลูกหมาก ของท่านชายขยายใหญ่ขึ่น ช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากอัณฑะให้อยู่ในระดับปรกติ
  • รากฟักทอง นำมาต้มใช้ดื่มแก้ไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย
  • เยื่อที่อยู่กลางผล ก็ส่วนที่เราคว้านทิ้งเวลาเอาฟักทองมาทำอาหารนี่แหละ ซึ่งเยื่อตัวนี้สามรถนำมาพอกแผลได้ แก้อาการฟกช้ำปวดอักเสบได้อย่างดี

การนำฟักทองไปใช้

หัวข้อนี้คงไม่ขอพูดอะไรมาก แต่ขอยกตัวอย่างเมนูบางส่วนจากฟักทองก็แล้วกัน เมนูที่แนะนำคือ แกงเผ็ดเนื้อใส่ฟักทอง  แกงเลียง ฟักทองผัดไข่ ส่วนของหวานก็มี สังขยาฟักทอง (อันนี้ชอบมากเป็นการส่วนตัว) ขนมฟักทอง บวดฟักทอง ฟักทองนึ่ง ฟักทองเชื่อม และอื่นๆที่ไม่ได้กล่าว

คำแนะนำเพิ่มเติม

– การเลือกฟักทองควรเลือกพันธ์ที่มีรสหวาน เนื้อละเอียด จะมีสรรพคุณทางยามาก (เรื่องรสหวานเนื้อละเอียดถามคนขายดูได้ถ้าเขาไม่โกหก โดยส่วนใหญ่พันธ์ผสมจะเป็นที่นิยม)

– การทานฟักทองมากเกินไปจะทำให้ผิวเหลือง แน่นท้อง ผู้รู้เขาแนะนำว่าการใส่กระเทียมเจียวกับเต้าเจี๊ยวในผัดฟักทอง จะชาวยลดการแน่นท้องลงได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก กรมแพทย์ทางเลือก และหนังสือ อาณาจักรพืชผัก สมุนไพรสร้างสมอง

 

ต.ค. 092012
 

พืชที่เราบริโภคลำต้นใต้ดิน หรือเรียกกันแบบบ้านๆว่าหัว นั้นมีอยู่หลายชนิด ที่ได้รับความนิยมหน่อยก็พวก กระชาย หรือข่า ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่เราได้เคยพูดกันมาแล้ว (ตามอ่านได้) แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงพืชชนิดหนึ่งกัน ที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครตรงที่เมื่อนำหัวมาฝนจะให้สีเหลืองที่สวยงาม นึกออกแล้วใช่ไหมครับว่าผมพูดถึงอะไร สมุนไพรไทยชนิดนั้นก็คือขมิ้นชัน หรือขมิ้นนั่นเอง

 มาทำความรู้จักกับขมิ้นกัน

ขมิ้น หรือ ขมิ้นชันชื่อวิทยาศาสตร์ของขมิ้น  : Curcuma longa Linn

ชื่อในภาษาอังกฤษ  : Turmaric

ชื่ออื่นๆ   :  ขมิ้น ขมิ้นแกง  ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว หมิ้น ขมิ้นป่า ขมิ้นทอง   ขมิ้นดี  ตายอ

ลักษณะของขมิ้น  : เป็นพืชที่ไม่ท้อถอย (พืชล้มแล้วลุก)  สูงไม่มากประมาณ  30-90 ซม. เหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้องข้างในสีเหลืองเข้ม (ใช้คำว่าเหลืองอ๋อย คงจะเหมาะ)   มีกลิ่นที่หอมเฉพาะตัว ใบเป็นใบเดี่ยวแทงออกมาจากเหง้า  ดอกออกเป็นช่อ มีก้านชช่อแทงออกมาจากเหง้า แทรกขึ้นมาระหว่างก้านใบ กลีบดอกมีสีเหลืองอ่อน ผลรูปกลมมีสามพู

สรรพคุณของขมิ้นชันทางด้านสมุนไพรไทย  เหง้าขมิ้นชันมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ตามธรรมชาติ ลดการอักเสบ และยังช่วยป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย มีสรรพคุIในการขับลม บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาฝี แผลพุพอง อาการแพ้และอักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย

สรรพคุณของขมิ้นชันทางด้านโภชนาการ 

ในขมิ้นชันมีวิตามิน AEC (หรือประชาคมเศรษกิจอาเซียน ไม่ใช่แล้ว) คือเจ้า วิตามิน A,C,E ทั้งสามตัวจะเข้าสู่ร่างกายพร้อมๆกันจึงมีผลมากมาย เฉพาะในเรื่องของมะเร็งก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งตับ และกำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไปแล้ว เตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง    ส่วนในเรื่องอื่นๆที่เขาวิจัยก็มี เรื่องการช่วยลดไขมันในตับ สมานแผลในกระเพราะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ  นับว่าสรรพคุณค่อนข้างดีมากๆ

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเพิ่มเติม เช่นป้องกันการแข้งตัวของเลือด การเป็นสารต้านมะเร็งเนื้องอกต่างๆ รวมถึงยังมีการใช้เป็ยาต้านเชื้อในผู้ป่วย HIV ย้ำนะครับว่าอยู่ในขั้นการทดลอง และขมิ้นชันเองมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันซึ่งเหมาะมาก กับคนที่เป็นหวัด หรือแพ้อากาศบ่อยๆ

สูตรยาสมุนไพรไทยจากขมิ้นชัน

1.สูตรยาแก้โรคกระเพาะ แก้ท้องร่วง แก้ท้องอืด ใช้เหง้าแก่สด ยาวประมาณ 2 นิ้ว เอามาขูดเปลือกล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด เติมน้ำและคั้นแต่น้ำ รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้ง

2.สูตรยาภายนอก ทาแก้ผื่นคันโรคผิวหนัง แผลพุพอง ชันนะตุ และหนังศรีษะที่เป็นผื่น ให้ใช้เหง้าแก่แห้ง ไม่จำกัดจำนวน ป่นเป็นผงให้ละเอียด ใช้ทาตามบริเวณที่เป็นผื่นคัน โดยในเด็กใช้กันมาก

ข้อควรระวังในการใช้  เมื่อมีประโยชน์ ย่อมต้องมีสิ่งที่ต้องระวังบ้างเป็นธรรมดา ลองมาดูกันเลย

  •  การใช้ผงขมิ้นเป็นยารักษาโรคกระเพาะ ถ้าใช้ปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะได้
  • บางคนอาจมีการแพ้ขมิ้นโดยอาการคือ คลื่นไว้อาเจียน ท้องเสีย ปวดหัว นอนไม่หลับ ให้หยุดยาทันที บางคนอาจทานอาหารใต้ไม่ได้ ทานแล้วท้องเสียไม่แน่อาจเกิดจากสาเหตุการแพ้ขมิ้นในอาหารก็เป็นได้
  • ไม่ควรซื้อผวขมิ้นชันตามตลาดควรทำเอง เพราะตามตลาดเขาใช้ขมิ้นอ้อย และกรรมวิธีมักผ่านความร้อน ทำให้สูญเสียน้ำมันหอมระเหยไป

 

ต.ค. 092012
 

เมื่อตอนที่แล้วได้พูดถึงกะหล่ำปลีธรรมดา หรือกะหล่ำปลีสีเขียวไป  เพื่อไม่ให้พืชอีกพันธ์ที่คล้ายกันต้องน้อยใจ ผมเลยต้องขอพูดถึงกระหล่ำปลีม่วงบ้าง เพราะนอกจากสีที่ต่างกันแล้ว ยังมีรายละเอียดในด้านคุณค่าบางส่วนที่แตกต่างกัน จะขอพูดถึงสรรพคุณด้านสมุนไพรไทย แยกย่อยเป็นข้อๆดังนี้

คุณค่าของกะหล่ำปลีม่วง

กะหล่ำม่วง หรือกระหล่ำปลีม่วง1. กะหล่ำปลีม่วงจะอุดมไปด้วยสาร อินไทบิน(intybin) ทีมีส่วนสำคัญมากในระบบเผาผลาญอาหารของคนเรา เพราะช่วยกระตุ้นเลือดไปหล่อเลี้ยงตับ ถุงน้ำดี และกระเพาะอาหารที่ดีขึ้น  เมื่อเลือดไปเลี้ยงดีแล้วระบบพวกนี้จึงมีความสมบูรณ์

2. กะหล่ำปลีม่วงจะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก จึงช่วยเสริม ฮีโมโกลบิน ที่เป็นสารที่ทำหน้าที่จับและพาออกซิเจนไปกับเม็ดเลือดแดงเพื่อไปเลื้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย หากเราขาดสารนี้จะทำให้เป็นโรคโลหิตจาง ซึ่งสารฮีโมโกลบินนี้นอกจากพบในพืชแล้วยังพบในพวกเครื่องในสัตว์เช่นตับสัตว์ แต่ตับสัตว์มีคอเรสเตอรอลค่อนข้างสูง กะหล่ำปลีม่วง จึงป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

3. กะหล่ำปลีม่วงมีสาร เอส มีไทล์เมทิโอนีน (S-methylmethionine) หรือที่เรียกกันคือวิตามินยู ชื่อไม่คุ้นเลยว่าไหมครับ แต่ทางการแพทย์มีการใช้ สารเอส มีไทล์เมทิโอนีน หรือวิตามินยู ในการช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารและช่วยบรรเทาอาการปวดท้องที่มีสาเหตุจากแผลในกระเพาะและช่วยให้การหลั่งของน้ำย่อยเป็นปกติ  นอกจากนั้นสารเอส มีไทล์เมทิโอนีน หรือวิตามินยู ยังช่วยต้านมะเร็งคือสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้ได้ แถมยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญของฮอร์โมนเอสโทรเจนในร่างกาย

4.สามารถใช้ประคบเต้าคม เพื่อบรรเทาอาการปวดตีงคัดเต้านมเช่นเดียวกับกะหล่ำปลีเขียว

5.ในกะหล่ำปลีม่วง มีวิตามินซีสูงกว่า กะหล่ำปปลีสีเขียวถึงสองเท่า (เรียกว่าเกทับกันเห็นๆ) คุณค่าของวิตามินซีเราคงไม่ขอพูดถึงมากเพราะพูดกันในหลายๆบทความแล้ว

6.กะหล่ำปลีม่วงจะช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลได้ และนอกจากกนี้ยังมีสารซัลเฟอร์ในการช่วยระบบประสาทให้นอนหลับดี โดยอาศัยกลไกเดียวกับกะหล่ำปลีเขียว

 

การบริโภคกะหล่ำปลีม่วง

สำหรับการบริโภคกะหล่ำปลีม่วงจะต่างกับกะหล่ำปลีเขียวหน่อยตรงที่ว่า กะหล่ำปลีม่วงนิยมทานสดมากกว่า เช่นสลัดก็มีการหันฝอยเพื่อเพิ่มสีสัน ข้อแนะนำอย่างหนึ่งคือ การนำมากะหล่ำปลีม่วงมาประกอบอาหารระวังอย่าให้ผ่านความร้อนนาน เพราะจะทำให้สูญเสียคุณค่าวิตามิน

 

ข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานกะหล่ำปลีดิบครั้งละมากๆ เพราะมันมีสาร Goitrogen ซึ่งจะขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ต่อทไทรอยด์นำไอโอดีนที่อยู่ในเลือดไปใช้ได้น้อย ทำให้เกิดภาวะขาดไอโอดีน ฉะนัน้ทานอะไรก็ควรทานแต่พอดี สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกับพืชอื่นๆบ้างจะช่วยให้ได้คุณค่าอย่างครบถ้วน

ต.ค. 082012
 

วันนี้เพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง คราวนี้ขอพูดถึงเรื่องผักบ้าง แถมเป็นผักที่พบเห็นได้ง่ายๆ ชนิดว่าคงไม่มีใครไม่เคยทาน เอาง่ายๆเดินไปซื้อลูกชิ้น เชื่อไหม 6ใน10 ร้านต้องมีผักชนิดนี้แถมให้ (ไม่ได้วิจัยจริงๆจังๆนะครับแค่จากประสบการณ์ บางทีอาจมี แตงกวา บ้างก็ว่ากันไป)นั่นก็คือกะหล่ำปลีนั่นเอง เขียนให้ถูกนะครับ”กะหล่ำปลี” ไม่ใช่ “กะหล่ำปี ” กะหล่ำที่พบตามท้องตลาด โดยส่วนใหญ่จะมีอยู่สองสี คือแดงกับเหลือง เอ๊ยเขียวกับม่วงในบทความนี้จะเน้นที่กะหล่ำปลีธรรมดา หรือกะหล่ำปลีสีเขียวก่อน ไว้มีโอกาศจะเล่าถึงกะหล่ำปลีสีม่วง หรือกะหล่ำปลีม่วงถ้าโอกาศเอื้ออำนวย

คุณค่าของกะหล่ำปลี 

กะหล่ำปลี ลักษณะใบของกะหล่ำปลี หรือที่คนชอบเรียก ดอกกะหล่ำนอกจากนำมากินเป็นผักสด หรือประกอบอาหารแล้ว ในคุณค่าความเป็นสมุนไพรไทยของมันยังมีอีกเพียบ ขอแยกเป็นข้อๆปล้องๆดังนี้

1.มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีงานวิจัยออกมาว่า กะหล่ำปลีสีเขียว จะสามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ในผู้ชายได้สูงถึงร้อยละหกสิบหก ( 66 เปอร์เซ็นต์)อีกด้วย และนอกจากนี้วิตามินซียังสามรถป้องกันโรค เลือดออกตามไรฟัน ช่วยย่อยอาหารและล้างสารพิษ

2.มีใยอาหารหรือไฟเบอร์สูง จะช่วยกระตุ้นระบบการย่อยอาหาร กระตุ้นลำไส้ใหญ่ ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี

3.มีกรดทาร์ทาริก *ช่วยยับยั้งไม่ให้แป้งและน้ำตาลจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เปลี่ยนกลายเป็นไขมันส่วนเกิน สะสมอยู่ตามร่างกาย จึงเหมาะมากๆกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

*เพิ่มเติมข้อมุลนิดนึงนะครับ กรดตาร์ตาริก (tartaric acid) คือ กรดอินทรีย์ (organic acid) พบตามธรรมชาติในผักผลไม้ และเป็นกรดที่พบในไวน์  มีสูตรทางเคมีคือ  C4H6O6  อยู่ในรูป L-Tartaric acid อาจเรียกว่า L-2-3-Dihydroxysuecinic acid หรือ L-2,3-Dihydroxybutanedioic (ข้อมูลจากจากสารานุกรมอาหาร)

4.อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่ทีส่วนสำคัญในเรื่องของการสร้างกระดูกและฟัน ซึ่งยิ่งแก่ตัวไป หรือเด็กๆ ยิ่งจำเป็นมากๆ

5.กะหล่ำมีสารซัลเฟอร์ สารตัวนี้จะช่วยระงับประสาท ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย จึงทำให้นอนหลับดีขึ้นนั่นเอง

6.กะหล่ำปลีมีสารต้านการอักเสบ ของแผลในกระเพาะ และลำไส้ ช่วยกระตุ้นให้เซซล์ที่ทำหน้าที่บุเยื่อกระเพาะสร้างสารคัดหลั่งเพื่อช่วยเคลือบผิวทางเดินอาหาร จึงป้องกันโรคกระเพาะและลำไส้ได้ ไม่แปลกเลยที่ส้มตำเผ็ดๆ หรืออาหารที่มีรสเผ็ดคนโบราณจึงให้นิยมทานกับกะหล่ำ

7.สำหรับสาวๆกะหล่ำปลี สามารถบรรเทาอาการปวดคัดตึงเต้านมได้อีกด้วย โดยใช้กะหล่ำปลีมาประคบเต้านมข้างละใบ (คิดว่าคงพอเพียงกับขนาดหญิงไทยมาตรฐาน) และใช้ผ้าพันไว้ 20 โดยไม่ต้องนวดคลึงอาคารปวดบวมคัดตึงจะหายไปเอง

การนำไปใช้

จริงๆในหัวข้อนี้ผมคงไม่ต้องลงรายละเอียดมากเพราะกะหล่ำเองนำไปบริโภคได้ทุกส่วนอยู่แล้ว ตั้งแต่ใบ กาบใบ สามรถเอามาทำอาหารหลายชนิด ขอยกตัวอย่างเช่น กะหลำปลีผัดกับหมู ต้มจืด บะช่อหมูสับ กะหล่ำยัดไส้ (น้ำยายไหล) หรือถ้าไม่ประกอบอาหารจะทานสดๆก็ไม่พรบ.หรือรัฐธรรมนูญมาตราใด เช่นนำมากินแกล้มกับลาบ ส้มตำ ลูกชิ้นปิ้งได้หมด หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริก ทานกับปลานึ่งอันนี้ก็แจ๋ว

ข้อควรระวังในการใช้กะหล่ำปลี

เวลาที่เราซื้อกะหล่ำมาจากตลาด แน่นอนผักออแกนิค(ปลอดสารพิษ) มันไม่ได้ขายกันทุกตลาดฉะนั้นทางที่ดีที่สุด ล้างให้สะอาดก่อนเพราะลักษณะของกะหล่ำปลีอาจจะทำให้เก็บยาฆ่าแมลงไว้ได้มาก อาจใช้น้ำผสมเกลือหรือน้ำช้มสายชูล้าง จะทำให้ชำระล้างสารพิษได้มาก

ทานกะหล่ำปลีให้อร่อยนะครับทานเผื่อผมด้วย ไว้คราวหลังจะนำเรื่องพืชผักสมุนไพรไทยดีๆมาฝากอีก

ขอบคุณหนังสืออาณาจักรพืชผัก สมุนไพรสร้างสมอง สำหรับข้อมูล

 

 

ต.ค. 082012
 

อาการปวดฟันนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกทรมานมาก ใตรที่เคยปวดย่อมรู้ดี เว็บสมุนไพรไทยเองขอแนะนำสมุนไพรไทย ชนิดหนึ่ง ที่จะสามารถช่วยบรรเทาเบาบาง อาการปวดฟันได้ (ก่อนที่จะไปหาหมอฟันเพื่อจัดการกับต้นเหตุต่อไป ) สมุนไพรที่เราจะมาแนะนำในวันนี้คือ กานพลู

มารู้จักกับกานพลูกันก่อน

กานพลู รูปดอกกานพลู สมุนไพรไทย ที่สามารถระงับอาการปวดฟันได้ชื่อโดยทั่วไป : กานพลู หรือ clove tree

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ :SyZagium aromaticum

ชื่ออื่นๆ :  จันจี่ ดอกจัทร์

ลักษณะ โดยทั่วไปของกานพลู

ลำต้น เป้นไม้ยืนต้น ทรงพุม มีกิ่งก้านสาขามาก สูง 9-20 เมตร ลำต้นตั้งตรง

ใบ   มีใบเดียว เรียงตรงข้าม แตกกิ่งก้านสาขา ผิวมัน

ดอกและผล    ช่อดอกออกที่ซอกใบ หรือปลายกิ่ง ดอกกานพลูมีน้ำมัน ซึ่งมีกลิ่นหอมและรสค่อนข้างเผ็ดร้อน เมื่อมีผลจะออกเป็นรูปกรวยยาว

สรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของกานพลู

ดอกกลานพลู  นอกจากเรื่องของบรรเทาอาการปวดฟันดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วนั้น กานพลูเองยังมีสรรพคุณอื่นๆอีกมาก  โดยเฉพาะส่วนที่เป็นดอกของกานพลู หากยังไม่ได้สกัดเอาน้ำมันออกจะมีกลิ่นหอมจัด มีน้ำมันหอมระเหยมาก มีรสเผ็ด สรรพคุณคือ แก้รำมะนาด และยังสามารถแก้ปัญหากลิ่นปากได้อย่างชะงัด  ใครดื่มสุรามาสามรถใช้ดับกลิ่นได้ (ป้องกันคุณแม่บ้านจับได้เป้นอย่างดี  แต่ทั้งนี้ขึ้นกับความเนียนของแต่ละคนด้วย ) และสำคัญที่สุดคือ บรรเทาอาการปวดฟัน    เรียกได้ว่าสรรพคุณในด้านเหงือกและฟันค่อนค้างครบวงจรเลยทีเดียว  นอกจากนั้นด้านอื่นยังมีในเรื่องของ  บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด และขัมลม แก้ไอ แก้โรคเหน็บชา ขับเสมหะได้ สามรถแก้ท้องเสียในเด็ก

ผลกานพลู  ผลการพลู  ใช้เป็นเครื่องเทศได้เป้นอย่างดี ช่วยเพิ่มความหอมให้กับอาหารได้

น้ำมันหอมระเหยจากการพลู หากสะกัดเอาน้ำมันหอมระเหยออกมา เฉพาะตัวน้ำมันหอมระเหย จะมีสรรพคุณ ในการเป็นยาชาเฉพาะที่ แก้ปวดฟัน ฆ่าเชื้อทางทันตกรรมได้ เป็นยาระงับการชักกระตุก ทำให้ผิวหนังชา ใช้ป็นยาขับลม และ แก้ปวดท้อง

สูตรยาสมุนไพรไทยจากกานพลู 

ได้อ่านสรรพคุณกันไปแล้ว ก็มาถึงวิธีการทำยาจากกานพลูกันบ้างว่ามีวิธีการทำอย่างไร

 สูตรยาช่วยระงับอาการปวดฟัน  ใช้ไม้พันสำลี หรือ คัตเติลบัต ชุบน้ำมันกานพลูนำไปหยด 4 -5 หยด ในรูฟันที่ปวด หรือใช้ชุบสำลี เคียวไว้ในปากบริเวณที่ปวด

สูตรยากำจัดกลิ่นปาก ให้อมดอกกานพลูไว้ 2-3 ดอกสัก 1-2 นาที แล้วบ้วนทิ้ง

สูตรยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลม  สำหรับผู้ใหญ่ใช้ดอกกานพลู 5-8 ดอก นำมาต้มหรือบดให้เป็นผงรับประทาน ในกรณีที่เป็นเด็ก ใช้ดอกกานพลู 3 ดอก ทุบให้แตกแช่ในน้ำเดือด ชงนมผสมประมาณ 750 cc ให้เด็กดื่ม

ทั้งหมดนี้เป็นสุตรยาสมุนไพรไทยจากการพลู ลองเอาไปทำดูได้นะครับ สุดท้ายยังไม่หมด เรามีสูตรชาสมุนไพรจากดอกกานพลูมาฝากทุกท่านครับ

เมนูน้ำสมุนไพร ชากานพลู

ส่วนผสม

  • ดอกกานพลู                             4-5    ก้าน
  • น้ำผึ้งหรือน้ำตาลกรวด              1   ช้อนชา

วิธีการทำ

1. ใส่กานหลูในถ้วยชา ใส่น้ำร้อนเกือยเต้มทิ้งไว้ 5 นาที

2. ใส่น้ำผึ้งหรือน้ำตาลกรดลงไปคนเข้ากัน

ควรดื่มอุ่นๆ จะช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยย่อย ได้เป็นอย่างดี