มี.ค. 232016
 

ข่าว น่าสลดเกิดขึ้นอีกครั้ง เรื่องของว่าที่เจ้าสาวที่ต้องมาเสียชีวิตลง เนื่องจากสาเหตุ การรับประทานสารเสริมความงามเกินขนาด ! เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา… แน่นอนว่ามันเป็นความโศกเศร้าของครอบครัวและคนรัก และเป็นเรื่องที่คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกสลดใจกับชีวิตคู่ของคนสองคนที่ควรเริ่มต้นไปด้วยดี แต่ต้องมาเกิดเรื่องขึ้นเพราะสารเสริมความงาม… อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีคนต้องเสียชีวิตเพราะสารเสริมความงาม สารพัดอย่าง… ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ คนก็มีความหวาดกลัวในเรื่องผลข้างเคียงของมัน ตามข่าว ว่าที่เจ้าสาวรายนี้รับประทานทั้งยาทำให้ผิวขาว ยาลดความอ้วน ประกอบกับพบว่ามีความจำเป็นต้องใช้ยารักษาโรคหอบหืด ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตคือการรับประทานยาเสริมความงามเกินขนาด !

นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยนิยมหาซื้อยาหรือที่เรียกว่าอาหารเสริมมารับประทานเพื่อความงาม โดยที่ไม่ได้ระวังในเรื่องผลข้างเคียง แต่… เราไม่จำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนั้น เพราะเรายังสามารถใช้สิ่งที่ปลอดภัยกว่า และมาจากธรรมชาติอย่างสมุนไพร มาใช้ในเรื่องความสวยความงามได้เช่นกัน !

สมุนไพรที่สามารถช่วยทำให้เรามีผิวพรรณที่สวยงามและขาวเปล่งปลั่งขึ้น มีอยู่หลายขนาน แต่ที่นิยมมากที่สุดอบ่างหนึ่งก็คือ… “ขมิ้น”

ขายขมิ้นชัน

ขายขมิ้นชัน

เราสามารถใช้ขมิ้นสด หรือขมิ้นตากแห้งบดเป็นผง นำมาใช้เป็นผงพอกและขัดตัว ทิ้งไว้สักครู่ก็อาบน้ำล้างออกตามปกติ ขมิ้นจะช่วยให้เรามีผิวพรรณที่ดูเปล่งปลั่งขึ้น ขาวขึ้น ช่วยขจัดสิ่งสกปรกและต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวดูขาวขึ้นมีสุขภาพดีขึ้น

และนอกเหนือจากการใช้ขมิ้นผงเปล่าๆ ผสมน้ำแล้ว เรายังสามารถนำเอามาผสมกับสมุนไพรได้อีกหลายตำรับเพื่อให้เกิดผลดีต่อความสวยงามของผิว เช่น…

ขมิ้น น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว เพื่อเพิ่มสรรพคุณในการชำระล้าง ผลัดเซลล์ผิวใหม่ และบำรุงให้ผิวชุ่มชื้นมีสุขภาพดีได้อีกด้วย

ขมิ้นชันพอกหน้า

ขมิ้นชันพอกหน้า

 

ขมิ้น ไพล ว่านนางคำ และดินสอพอง สูตรนี้เราต้องใช้สมุนไพรแห้งบดเป็นผงละเอียด เวลาที่เราจะใช้ให้นำสมุนไพรมาผสมกับดินสอพอง เอาไปละลายน้ำแล้วนำมาขัดตัว อย่างไรก็ตามสูตรนี้เราแนะนำให้ใช้แค่อาทิตย์ละครั้งก็พอ เพื่อที่จะทำให้ผิวขาวขึ้น และมีความนุ่มเนียนได้อีกด้วย

นี่เป็นการใช้สมุนไพรเพื่อทำให้ผิวของเราขาวขึ้นได้ โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งการรับประทานยาที่อ้างว่าทำให้ขาวจากการรับประทาน ที่อาจมีผลข้างเคียง หากไม่ใช่ยาที่ผ่านการตรวจรับรองจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ สมุนไพรใช้ทาภายนอกก็ช่วยเราให้มีผิวที่สุขภาพดีและขาวขึ้นได้อย่างเห็นผล !

ผิวสวยด้วยขมิ้น

ผิวสวยด้วยขมิ้น

 

มี.ค. 222016
 

เป็นข่าวที่เกรียวกราวและน่าตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อมีอุบัติเหตุรถยนต์หรูยี่ห้อเบนซ์ชนกับรถฟอร์ด ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้และมีผู้เสียชีวิต ! ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นข่าวที่น่าสลด และมีประเด็นอีกหลายหลายตามมาในโลกออนไลน์ แต่ส่วนหนึ่งบอกว่าผู้ที่ขับรถเบนซ์ขับรถด้วยความประมาทจนเกิดเหตุนี้ขึ้น… เอาล่ะ เรื่องราวข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรเราก็ต้องปล่อยให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานพิสูจน์หลักฐาน แต่ที่เราอยากจะมาพูดคุยกันในวันนี้ก็ด้วย

สมุนไพร คลายเครียด

สมุนไพร คลายเครียด

เรื่องของการใช้สมุนไพร เพื่อบำรุงสมองและประสาท เพื่อที่จะทำให้เรามีสติ และอารมณ์ที่

แจ่มใสขึ้น

เมื่อคนเรามีสติการตัดสินใจในการทำอะไรก็จะดีขึ้น และเราจะสามารถลดปัญหาเรื่องอุบัติเหตุได้อีกด้วย เนื่องจากเรามีสติระลึกรู้และสามารถควบคุมตัวเองได้มากขึ้น…

สมุนไพรที่น่าสนใจในเรื่องการบำรุงสมองและระบบประสาทขนานเอกในยาตำรับไทยชนิดหนึ่งก็คือ “เทียนทั้งห้า” หรือเรียกอีกชื่อว่า “พิกัดเทียนทั้งห้า”  ยาตำรับนี้มีสรรพคุณ สามารถช่วยบำรุงระบบและสมอง เสริมความจำ ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น คลายความเครียด ลดความวิตกกังวล ทำให้อารมณ์แจ่มใส และยังช่วยให้นอนหลับง่ายและหลับสนิทยิ่งขึ้น

สมุนไพรเทียนทั้ง 5 ประกอบขึ้นจากตัวยาสมุนไพร 5 ชนิด ได้แก่…

เทียนดำ มีสรรพคุณ บำรุงโลหิต ขับลมในลำไส้ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว หน้ามืดตาลาย ขับเสมหะ ทำให้รู้สึกสดชื่น เทียนดำมีกลิ่นหอมฉุน มีรสชาติเผ็ด ขม ให้ความรู้สึกร้อน คล้ายๆ กับเครื่องเทศ

เทียนขาว มีสรรพคุณ แก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียนแก้อาการจุกเสีย มีลมในกระเพาะและในลำไส้ ขับลมเสียดแทงภายใน ขับเสมหะ แก้ดีพิการ และยังสามารถใช้ขับระดูขาวในคุณสุภาพสตรีได้อีกด้วย

เทียนแดง มีสรรพคุณ เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต แก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน แก้ลมเสียดมีอาการจุกแน่นในท้อง

เทียนข้าวเปลือก มีสรรพคุณ เป็นยาบำรุงกำลัง ขับลมในท้องและลำไส้ ทำให้หายจุกแน่นท้อง  ขับเสมหะ แก้ชีพจรอ่อนชีพจรพิการ แก้อาการนอนสะดุ้งตอนกลางคืน ทำให้หลับสนิท

เทียนตาตั๊กแตน  มีสรรพคุณ บำรุงธาตุ ทำให้สุขภาพแข็งแรง และเกิดความสมดุล ขับเสมหะ ทำให้รู้สึกสดชื่น ขับลม แก้ปัญหาเลือดกำเดาไหล ดูแลเส้นเลือดให้มีความยืดหยุ่นไม่เปราะแตกง่าย

นี่คือสมุนไพรไทยที่มีชื่อว่า เทียนทั้ง 5 ซึ่งเป็นยาดีที่น่ามีเอาไว้ใช้ภายในบ้าน และควรรับประทานเป็นประจำ ทำให้ร่างกายแข็งแรง สามารถบำรุงสมองและระบบประสาท ทำให้เรามีสติแจ่มใส แก้ปัญหาในเรื่องหลอดเลือด สามรถช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ขับลมขับเสมหะ

มี.ค. 212016
 

เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่ยอมแพ้วันเวลาปล่อยตัวให้โรยราไปตามวัย เมื่อพระเอกรุ่นเก๋าชาวฮ่องกง “หลี่ เหลียงเหว่ย” ที่เคยรับบท “ติงลี่” ในละครโทรทัศน์เรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เมื่อหลายปีก่อน มารับงานเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับรังนกยี่ห้อดัง เนื่องจากปัจจุบัน เขามีอายุเข้าสู่วัยเลข 6 แล้ว แต่รูปร่างหน้าตายังดูหนุ่มแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกว่าทำเอาหนุ่มๆ อายกันเลยทีเดียวในความฟิตของป๋าหลี่ ซึ่งก่อนหน้านี้รังนกยี่ห้อเดียวกันก็คว้าเอาดาราสาวรุ่นใหญ่ที่ดูสวยไม่สร่างแม้วัยจะ 60 แล้ว อย่าง หมีเซียะ มาเป็นพรีเซนเตอร์เช่นกัน เรียกว่าสร้างความฮือฮาให้กับผู้คนได้เป็นอย่างมากสำหรับความเป็นหนุ่มเป็นสาวอ่อนกว่าวัยของดาราฮ่องกงทั้งสองท่านนี้

สมุนไพร อ่อนเยาว์ ไม่แก่

สมุนไพร อ่อนเยาว์ ไม่แก่

การดูเป็นหนุ่มสาวกว่าวัย สมุนไพรก็ช่วยได้ ในตำรับยาไทยมียาสมุนไพรมากมายหลายชนิดที่สามารถลดวัยต้านความชรา ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยดูเป็นหนุ่มเป็นสาวได้เป็นอย่างดี รับรองว่ามีสรรพคุณไม่น้อยหน้ารังนกแน่นอน

ตัวอย่างสมุนไพรที่ช่วยเสริมความแข็งแรงเป็นยาอายุวัฒนะต่อต้านความชรา อาทิเช่น

บอระเพ็ด สมุนไพรรสขมจัด มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ ปรับสมดุลในร่างกาย ช่วยให้เจริญอาหารและยังเป็นยาลดไข้ได้อีกด้วย

ดอกคำฝอย ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและมีรสหวานอ่อนๆ เป็นยาอายุวัฒนะชะลอความชรา มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง และยังสามารถใช้ในการลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต ขับเลือดทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ แต่ต้องระวังการใช้ สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน

หญ้าหวาน เป็นพืชที่สามารถใช้ให้ความหวานแทนน้ำตาลในคนที่เป็นโรคเบาหวานได้ มีสรรพคุณช่วยบำรุงตับอ่อน ลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ นอกจากนี้มันยังมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูงสามารถชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกายได้เป็นอย่างดี

กระชายดำ อันนี้น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ท่านชาย เพราะมันได้ชื่อว่าเป็นยาบำรุงกำลังเสริมสมรรถภาพของท่านชายได้ดีไม่แพ้โสม สรรพคุณทางยาสมุนไพร แก้อาการปวดเมื่อย หืดหอบ ทำให้ร่างกายแข็งแรง แก้อาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ปรับสมดุลโลหิต ทำให้ผิวพรรณผ่องใสดูเป็นหนุ่มเป็นสาวกว่าวัย

นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรไทยอีกมากมายหลายชนิดที่สามารถช่วยต่อต้านความชรา ส่วนใหญ่เป็นเพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง สามารถต่อต้านความเสื่อมของเซลล์ในร่างกายและขจัดสารพิษทำให้ร่างกายมีความสดชื่นดูอ่อนเยาว์กว่าวัย ในกรณีที่สมุนไพรบางชนิดมีรสขมรับประทานยาก หรือต้องการความสะดวกในการรับประทาน ก็สามารถใช้เป็นสมุนไพรอบแห้งบดเป็นผงบรรจุแคปซูลก็ใช้ได้เช่นกัน

 

 

สมุนไพร ขับพิษ

 ขับสารพิษในร่างกาย  ปิดความเห็น บน สมุนไพร ขับพิษ
มี.ค. 202016
 

เป็นข่าวหน้าหนึ่งที่น่าตกอกตกใจของหนังสือพิมพ์หลายฉบับและสื่ออื่นๆ แทบทุกสื่อ เมื่อเกิดเหตการณ์ทีผู้เสียชีวิตในอาคารเอสซีบีพาร์ค (ที่ทำการ ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่) หลายราย เหตุเกิดจากมีควันสารเคมีที่ใช้เพื่อการดับเพลิงเกิดทำงานผิดปกติ ทำงานในช่วงที่มีคนอยู่ในอาคาร เกิดควันสารเคมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าควันสารเคมีเหล่านี้มีพิษเป็นอันตราย นี่เป็นอีกครั้งที่เราต้องพึ่งสังวร ในเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสารเคมีเป็นจำนวนมากรอบตัว ซึ่งมันอาจจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแบบนี้ หรือไม่ก็เป็นการรับสารพิษเข้าไปแบบสะสมทีละเล็กทีละน้อย จนวันใดที่ร่างกายกายจัดการไม่ไหว มันก็จะเกิดผลเสียทำให้เราเจ็บป่วยไม่สบายขึ้นมา… ซึ่งก็มีตั้งแต่สถานเบาจนถึงระดับอาการหนัก ดังนั้นการใส่ใจในเรื่องการขับสารพิษออกจากร่างกายเป็นเรื่องที่คนเราควรให้ความสนใจ และสิ่งที่ช่วยให้เราสามารถขับสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างหนึ่งก็คือ ยาสมุนไพร !

สารพิษ scb park

สมุนไพรที่มีสรรพคุณขับพิษออกจากร่างกาย มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิดอาทิเช่น

  1. สมอไทย มีสรรพคุณในการกำขัดสารพิษในร่างกาย ถอนพิษตกค้างและยังแก้อาการจุกเสียแน่นท้อง เป็นยาระบายอ่อนๆ
  2. ใบย่านาง มีสรรพคุณล้างพิษ แก้พิษเบื่อเมา แก้กินอาหารผิดสำแดง และยังสามารถรักษาอาการติดเชื้อ อักเสบ แก้ผื่นคัน ดับพิษร้อน สามารถทำเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ
  3. กระเจี๊ยบเขียว มีกากใยในตัวสูงและสามารถละลายน้ำได้ ช่วยในการดูดซับพิษให้ออกมสมุนไพรล้างสารพิษาจากร่างกายพร้อมการขับถ่าย ชะล้างพิษในลำไส้ และยังสามารถใช้กำจัดพยาธิตัวจี๊ดได้อีกด้วย
  4. มะขามป้อม เป็นพืชที่ได้รับการยอมรับว่ามีวิตามินซีสูงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย แต่ในด้านการขับพิษถือว่ามีประสิทธิภาพมาก พบว่าสามารถขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดี แม้แต่สารพิษของโลหะหนักอย่างสารตะกั่วก็สามารถขจัดออกจากร่างกายของคนเราได้
  5. รางจืด อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดสมุนไพรขับสารพิษที่ขึ้นชื่อที่สุด ใช้แก้พิษอาการเบื่อเมาได้แทบทุกประเภท ถอนพิษอาการเมาค้าง และสามารถขจัดสารพิษอันตรายได้ดี ไม่ว่าจะเป็นยาพิษ ยาเบื่อ พิษจากสารเคมี และยาฆ่าแมลง นับเป็นตัวยาสมุนไพรที่ควรมีไว้ประจำบ้าน นิยมทำเป็นสมุนไพรแห้งเก็บเอาไว้ชงดื่มแบบน้ำชา
  6. แตงโม ผลไม้ที่มีน้ำมาก ช่วยในการขับสารพิษผ่านทางการขับปัสสาวะ ฟอกล้างร่างกาย นอกจากนั้นยังสามารถลดอาการความดันโลหิตสูงและยังคลายร้อนทำให้รู้สึกสดชื่นได้อีกด้วย

เหล่านี้เป็นตัวอย่างสมุนไพรที่สามารถใช้ขับพิษ ซึ่งเราจ้องเผชิญอยู่เป็นประจำ ควรเลือกรับประทานอยู่เสมอ เพื่อให้ร่างกายของเรามีสุขภาพที่แข็งแรงไม่สะสมสารพิษร้ายเอาไว้ในร่างกาย

มี.ค. 092016
 

ข่าวเรือติดเครื่องยนต์แก๊ส เกิดระเบิดขึ้นที่คลองแสนแสบ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา กลายเป็นเรื่องเกรียวกราดในหน้าข่าวของสื่อทุกแขนง เหตุเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจ จากเหตุการณ์ระเบิดนี้มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 50 ราย และในจำนวนนี้มี 2 รายที่อาการหนัก อีกทั้งเรือก็เป็นหนึ่งในยานพาหนะสาธารณะที่มีผู้คนใน กทม. นิยมใช้บริการจำนวนไม่น้อย มันไปสะกิดความรู้สึกพรั่นพรึงของคนจำนวนมากที่ต้องโดยสารเรือให้เกิดความหวาดกลัว เกรงว่าจะเกิดเหตุแบบเดียวกันนี้ขึ้นกับตัวเอง

อย่างไรก็ตามสาเหตุของการระเบิดยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งก็มีอยู่หลายประเด็นที่ถูกตั้งขึ้นมาในการสอบสวน รวมถึงประเด็นสาเหตุที่มีการเล่าลือกันออกไปต่างๆ นานา… ซึ่งเรื่องนี้เราก็ควรรอข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนก่อน แต่เราจะมาเล่าในวันนี้ไม่ใช่เรื่องสาเหตุหรือสมมุติฐานของการระเบิดที่เกิดขึ้น แต่เราอยากจะมาชวนให้นึกถึงวิธีการรักษาอาการที่เกิดจากแผลไฟไหม้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและเกิดขึ้นได้ง่ายยิ่งกว่า เป็นเรื่องพบเจอกันเป็นประจำในชีวิตประจำวันทั้งนอกบ้านและในบ้าน…

เมื่อเกิดแผลไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก เราสามารถใช้สมุนไพรใกล้ตัวช่วยได้ในการรักษา ซึ่งสมุนไพรที่นิยมใช้กันในการแก้ไขอาการแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ได้แก่

  1. ว่านหางจระเข้ ให้เลือกเอาใบที่อยู่โคนด้านล่างสุดมาใช้ก่อน วิธีการก็คือนำเอาใบว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกออก แล้วเอาไปล้างน้ำชะล้างยางสีเหลืองออกไปให้เหลือแต่วุ้นใสๆ เอามาแปะทับที่แผล วุ้นจากว่านหางจระเข้สามารถช่วยรักษาได้เป็นอย่างดี สามารถช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนที่แผล และลดขนาดแผลเป็นได้อีกด้วย
  2. ใบบัวบก เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่มีฤทธิ์เย็นจัด นอกจากสามารถนำมารับประทานบรรเทาอาการช้ำในขับเลือดเสียได้แล้ว ยังสามารถเอามาตำพอกบริเวณที่เป็นแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกได้อีกด้วย
  3. ใบชา นอกจากนำมาชงดื่มได้แล้ว กากของชาที่ชงยังสามารถเอามาใช้พอกที่แผลไฟไหม้ได้ สารแทนนินในใบชาสามารถรักษาอาการปวดแสบปวดร้อน ป้องกันการติดเชื้อและทำให้แผลหายเร็วขึ้นได้อีกด้วย
สมุนไพร ลดรอย น้ำร้อนลวก แผลไฟไหม้

สมุนไพร ลดรอย น้ำร้อนลวก แผลไฟไหม้

ในการใช้สมุนไพรรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก นอกจากจะต้องรีบทำโดยเร่งด่วนแล้ว เรายังต้องใส่ใจในเรื่องความสะอาดของสมุนไพร ซึ่งโดยทั่วไปเราสามารถใช้ได้ทั้งสมุนไพรสด และสมุนไพรแห้งนำมาบดพอก ควรมีการทำความสะอาดให้แน่ใจเสียก่อน ทั้งตัวสมุนไพรที่จะนำมาใช้และปากแผลที่ควรมีการทำความสะอาดเพื่อลดปัญหาเรื่องการติดเชื้อที่ทำให้แผลอักเสบลุกลาม…

ก.ย. 132015
 

ใครได้ดูหนังเรื่อง ฟรีแลนส์บ้างครับ ผมพึ่งไปดูมา เนื้อเรื่องแปลกใหม่ดี แต่ผมไม่ได้มารีวิวหนังนะครับเพราะเว็บนี้เป็นเว็บเกี่ยวกับสมุนไพรไทย  ซึ่งถ้าใครได้ดู  พบว่าจากเนื้อในหนังเราจะพบว่าพระเอกป่วยเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ซึ่งในหนังก็ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไรซะด้วย  แต่อาการที่พบได้แก่อาการคัน และตุ่ม ผื่นต่างๆ ถ้าไปหาหมอ หมอก็จะจัดพวกยาต่างๆตามอาการ  ซึ่งจริงๆแล้ว หากอาการไม่ร้ายแรงนัก เช่นตุ่มผดผื่นคันจากอากาศร้อน หรือการแพ้ที่มีไม่มาก เราก็สามารถใช้สมุนไพรไทยรักษาได้เช่นกัน  ลองมาดูกันครับว่ามีสมุนไพรอะไรกันบ้าง

ว่านหางจระเข้1.ว่านหางจระเข้ พืชสมุนไพรไทย ชนิดนี้เราคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว ลองอ่านเพิ่มเติมจากลิ้งค์นี้ได้ครับ  ว่านหางจระเข้ เพื่อผมสวย ผิวใสการใช้งานรักษาอาการคัน โดยการใช้ส่วนที่เป็นวุ้นวุ้นจากว่านหางจระเข้ทาที่ผิวส่วนที่มีอาการต่างๆเช่นผื่นคัน  ผด โดยให้ทา วันละ 2-3 ครั้ง แต่ที่สำคัญควรล้างผิวหนังให้สะอาดก่อนทุกครั้ง สารจากว่านหางจระเข้มีฤทธิ์บรรเทาอาการคันให้ทุเลาลงได้   อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาดีขึ้นได้ด้วย ใครไม่มีลองหาจากตลาดนัดมาปลูกดูนะครับ ปลูกง่าย

2.ขมิ้น เป็นสมุนไพรไทยที่ดีมากๆในการรักษาโรคผิวหนัง โรคผดผื่นคันต่างๆ ขมิ้นวิธีการคือให้นำเหง้าสดของขมิ้นมาล้างจากนั้นใช้ครก ตำให้เกิดน้ำแล้วนำมาทาผิว หรือจะใช้เครื่องบดแล้วคั้นเอาน้ำก็ไม่ว่ากันครับ   เป็นไงง่ายไหมครับสำหรับรายละเอียดสรรพคุณด้านสมุนไพรเพิ่มเติมลองดูได้จากลิ้งค์นี้ครับ   ขมิ้น ไม่สิ้นซึ่งสรรพคุณ

3.พลู สมุนไพรไทยตัวนี้น่าจะพอหาไดครับ ตามตลาด เพราะคนแก่ๆใช้เคี้ยวร่วมกับหมาก วิธีการใช้ก็โดยนำใบสด  3-4 ใบ มาตำแล้วคั้นเอาน้ำผสมกับเหล้าโรง (หรือเหล้าขาวนั่นแหละครับ ที่เรียกว่าเหล้าโรงเพราะเขาไม่อยากให้มองในแง่ของเหล้าเถื่อน) ซึ่งพลูสามารถช่วยลดอาการของผดผื่นคันได้เป็นอย่างดี

5.ฟ้าทะลายโจร สมุนไพรนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อแต่พียงรักษาอาการเจ็บคอ หรือไข้นะครับ สมุนไพรไทย ฟ้าทลายโจรซึ่งฟ้าทะลายโจรสามารถนำใบสดมาตำ แล้วคั้นเอาน้ำมา ทาบริเวณที่มีอาการผดผื่นคันซึ่งใช้วิธีคล้ายๆกับขมิ้น  หรือจะใช้ส่วนลำต้นต้มกับน้ำมันมะพร้าวจนเปื่อย แล้วกรองเอาเฉพาะน้ำ,yoมาทาก็ได้ ส่วนสรรพคุณด้านสมุนไพรไทยของฟ้าทะลายโจร ลองดูที่ลิ้งค์นี้ครับ  ฟ้าทะลายโจร สมุนไพรทะลายไข้

6.สะเดา นอกจากทานกับน้ำปลาหวาน สามารถใช้ได้ทั้งส่วนใบและเปลือกต้นสะเดา วิธีใช้โดยการคั้นเอาน้ำ มาใช้ทา เช่นเดียวกับสมุนไพรอื่นๆ เพราะสะเดาแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา จึงช่วยลดอาการคัน อาการแพ้ของผิว ได้อย่างดี สำหรับสรพคุณอื่นๆของสะเดา สามารถดูได้จากลิ้งค์นี้นะครับ สะเดา สมุนไพรรสขม แต่มากคุณค่า

ขอบคุณภาพจาก kasettrakonthai.com  เนื้อหาประกอบจาก  http://www.beauty24store.com/

เม.ย. 192015
 

เมื่อไม่กี่วันมานี้เป็นวันหยุดยาว ผมเองก็ได้มีโอกาศกลับบ้าน หลีกหนีชีวิตจำเจในเมือง ไปหาพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่เคารพ ช่างเป้นช่วงที่เรียบง่ายและมีความสุขจริงๆ อาหารการกินก้เป้นแบบง่ายๆ ลวกผักจิ้มน้ำพริก ที่พอหาได้ตามท้องถิ่น แต่พืชผักหลายชนิดที่นำมาทานกันนั้น บางชนิดจัดว่าเป็นสมุนไพรไทยที่หาทานยากทีเดียว ซึ่งสมุนไพรในวันนี้ที่ผมจะแนะนำให้ท่านรู้จักเป้นสมุนไพรที่ผมมีโอกาศได้ลองไปเก็บสดๆจากต้น นั่นก็คือแคร์นา นั่นเอง

แคนา  จากรูปที่ทุกท่านเห็นนี้ฝีมือในการถ่ายของผมอาจจะไม่เข้าขั้นเท่าไหร่ แต่ดูปุ๊บก็พอจะรู้ว่าเป็นต้นแคนา (ตามชื่อเลยครับ อยู่กลางนาก็เลยมีชื่อว่าแคนา บางทีเขาก็เรียกแคป่า)   ที่เห็นหล่นขาวๆที่พื้นนั้นแหละครับคือดอกแคนา ยอดสมุนไพรไทยของเรา  ดอกแคนาจะต่างจากแคร์บ้านชัดเจน ผมเคยเห็นเขาขายกันที่ตลาดกำละ 5 บาท นับดอกได้ 10ดอกได้ แต่ที่นี่ถ้าใครอยากได้มีให้เก็บให้กินแบบบุปเฟ่ครับ   ตามปรกติของเว็บนี้ข้อมูลสมุนไพรจะเสนอเป็นระบบ มีข้อมูลวิทยาศาสตร์ชัดเจน สำหรับหลายๆท่านนำไปอ้างอิง สำหรับครั้งนี้ก็เช่นกัน ข้อมูลของแคร์นามีดังนี้ครับ ขอบคุณคณะเภสัชาสตร์ ม.อุบล สำหรับข้อมูลอ้างอิง

 

ชื่อสมุนไพร แคนา
ชื่ออื่นๆ แคป่า (น่าจะมาจากการที่พบในป่า)  แคขาว (ชื่อนี้มาจากลักษณะดอกสีขาวครับ)   แคเค็ตถวา  (ชื่อถิ่น จ.เชียงใหม่)      แคทราย(ชื่อถิ่น จ. นครราชสีมาหรือภาคอีสานบางพื้นที่) แคแน แคฝอย(ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dolichandrone serrulata (DC.) Seem.
ชื่อพ้อง Stereospermum serrulatua DC.
ชื่อวงศ์ Bignoniaceae

  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์   ดอกแคนา 

  • ลำต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงได้ถึง 10-20 เมตร ผลัดใบ
  • เปลือกลำต้นสีน้ำตาลอ่อนอมเทา อาจมีจุดดำประ ผิวเรียบ หรือล่อนเป็นเกล็ดขนาดเล็ก ลำต้นตรง มักแตกกิ่งต่ำ
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ปลายคี่ ออกตรงข้าม 3-5 คู่ รูปไข่แกมขอบขนาน ปลายแหลม  โคนใบเบี้ยว กว้าง 2.5-7  เซนติเมตร ยาว 6-16 เซนติเมตร ขอบใบหยักแบบซี่ฟันตื้นๆ ผิวใบด้านล่างมี   ขนสั้นประปรายบนก้านใบ ก้านใบย่อยยาว 7-10 มิลลิเมตร
  •  ดอกเป็นดอกช่อแบบช่อกระจะสั้น ดอกใหญ่ รูปแตร สีขาว ออกตามปลายกิ่ง ยาว 2-3 ซม. ก้านดอกยาว 1.8-4 เซนติเมตร
  •  ผลเป็นฝัก ช่อละ 3-4 ฝัก แบน รูปขอบขนาน โค้ง บิดเป็นเกลียว ยาว 40-60 เซนติเมตร

แหล่งที่พบ   พบตามป่า ทุ่ง ไร่ นา ป่าเบญจพรรณ  โดยออกดอกช่วงเดือน มีนาคมถึงมิถุนายน

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย    

  •   ราก มีรสหวานเย็น แก้เสมหะและลม บำรุงโลหิต
  •   เปลือกต้น มีรสหวานเย็น แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ใช้กับสตรีหลังคลอด
  •   ใบ มีรสเย็น ใช้ตำพอกแผล หรือต้มน้ำบ้วนปาก
  •    ดอกมีรสหวานเย็น ใช้ขับเสมหะ โลหิต และลม
  •    เมล็ด รสหวานเย็น แก้อาการปวดประสาท(ตำราน่าจะหมายถึงอาการปวดต่างๆนะครับ) แก้โรคชัก

ประโยชน์อื่นๆ   แน่นอนครับสำหรับแคนา ประโยชน์หลักๆคือดอก ใช้ในการลวกจิ้ม หรือประกอบอาหารต่างๆ รสชาติขมนิดๆ ช่วยเจริญอาหารได้เป็นอย่างดี  นอกจากนั้นต้นแคนาเองก็มีการนำไปเป็นไม้ให้ร่มเงา ตามบ้าน รวมไปถึงหมู่บ้านจัดสรรหลายๆแห่งนำไปใช้ปลูกตามถนนเข้าโครงการก็มี จัดว่าเป็นพืชสมุนไพรไทยสารพัดประโยชน์ทีเดียว

 

หญ้าคาสุดยอดวัชพืชสมุนไพรไทย ที่ไม่ไร้คุณค่า

 ขับปัสสาวะ, พืชสมุนไพร, ลดความดันโลหิต  ปิดความเห็น บน หญ้าคาสุดยอดวัชพืชสมุนไพรไทย ที่ไม่ไร้คุณค่า
ก.ย. 092014
 

สวัสดีเพื่อนๆเว็บ ไทยสมุนไพร.net ทุกท่านครับ  ช่วงนี้ฝนตกค่อนข้างบ่อย ถึงแม้จะไปไหนมาไหนลำบาก แต่ก็มีข้อดีคือช่วยลดอุณภูมิภายนอกให้เย็นสดชื่นได้ พืชพันธ์ต่างๆ ก็พากันเขียวชอุ่ม โดยเฉพาะพวกวัชพืชต่างๆก็ได้อานิสงค์ไปกับเขาfด้วยเช่นพวกหญ้าคา  ซึ่งทำให้อาจต้องเปลืองแรงถอนกันอีก แต่หลายๆท่านเองอาจคิดว่าหญ้าคา เป็นเพียงวัชพื้ชที่ไร้คุณค่า  โดยมีคนเคยให้ข้อมูลว่า หญ้าคาติดอันดับ1 ใน 10 ของวัชพืชที่แย่ที่สุดของโลกเลยทีเดียว  อะไรจะขนาดนั้น     แต่ความเป็นจริงแล้ว หญ้าคานั้นถือเป็นสมุนไพรไทย ที่ทรงคุณค่ามากมายทีเดียว  มารู้จักหญ้าคากันครับ

  • ชื่อวิทยาศาสตร์ของหญ้าคา      Imperata cylindrica (L.) P.Beauv
  • ชื่อวงศ์                                        Poaceae หรือ Gramineae
  • ชืออื่นๆตามภูมิภาค                     คาหลวง , คา (ภาคกลาง) ลาแล , ลาลาง มลายู และ เก้อฮี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

หญ้าคา

ลักษณะทางพฤกษาศาสตร์ของหญ้าคา

มีเหง้าสีขาวแข็งอยู่ใต้ดิน ลำต้นตั้งตรงสูงถึง15 – 20 เซนติเมตร มีกาบใบโอบหุ้มอยู่และริมกาบใบจะมีขน ตัวใบจะเรียวยาวประมาณ 1 – 2 เมตร กว้างประมาณ 4 – 18 มิลลิเมตร มีขนเป็นกระจุกอยู่ระหว่างรอยต่อของตัวใบและกาบใบ ดอกมีสีขาวอมเหลือง หรือเป็นสีม่วง เป็นช่อยาวประมาณ 5 เซนติเมตร

ประโยชน์ด้านสมุนไพรของหญ้าคาจากการศึกษาทางวิสยาศาสตร์

เนื่องจากหญ้าคามีสารสำคัญอยู่หลายประการโดยเฉพาะในราก มีสารประกอบฟินอลิก (phenolic compounds),โครโมน (chrmones), ไตรเตอร์ปินอยด์ (triterpenoid), เซสควิทเตอร์ปินอยด์ (sesquiterpenoids), โพลีแซคคาไรด์โดยสารเหล่านี้มีคุณสมบัติสำคัญดังนี้

  1. ต้านอักเสบ  สารประกอบฟินอลิกที่มีชื่อว่า ไซลินดอลเอ (cylindol A) ที่พบในรากหญ้าคามีคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ไลพอกซีจีเนส                        (5-lipoxygenase) ซึ่งจะลดการสลายกรดไขมันอะแรกชิโดนิก (arachidonic acid) ที่จะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารก่ออักเสบ
  2. ต้านเลือดเหนียว  สารประกอบฟินอลิกที่มืชื่อว่า อิมพีรานีน (imperanene) ที่พบในรากหญ้าคามีคุณสมบัติในการยับยั้งการเกาะตัวกันของเกร็ดเลือด
  3. ขยายหลอดเลือด ลดความดันโลหิตสารประกอบฟินอลิกในกลุ่มลิกแนนที่มีชื่อว่า (graminone B) และเซสควิทเตอร์ปินอยด์ที่ชื่อว่าไซลินดรีน (cylindrene)  ที่พบในรากหญ้าคามีคุณสมบัติในการขยายหลอดเลือด (vasodilative activity) โดยพบว่าสามารถยับยั้งการหดรั้งของหลอดเลือดแดงในกระต่าย  ซึ่งคุณสมบัตินี้มีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิต ดั่งเช่นที่พบว่าสารสกัดจากหญ้าคาสามารถลดความดันโลหิตในหนูทดลองได้
  4. ปกป้องเซลล์สมองสารโครโมนที่พบในรากหญ้าคามีคุณสมบัติในการป้องกันเซลล์สมองถูกทำลายจากสารเคมีที่เป็นพิษ
  5.  เพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกันโพลีแซคคาไรด์ที่พบในรากหญ้าคามีคุณสมบัติในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
  6.  ต้านจุลชีพ  มีการศึกษาสารสกัดจากใบและรากของหญ้าคาพบว่าสารที่สกัดได้ทั้งจากใบ และรากของหญ้าคามีคุณสมบัติในการต้านจุลชีพที่ก่อให้เกิดโรคได้ ซึ่งได้แก่ แบคทีเรีย B. subtilis, P aeruginosa, E. coli, S. aureus และ ยีสต์ C. albicans(11)

ประโยชน์ด้านสมุนไพรของหญ้าคาจากความรู้ทางการแพทย์แผนโบราณ

  • สรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนไทยคือ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้อักเสบในทางเดินปัสสาวะ บำรุงไต แก้น้ำดีซ่าน แก้อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร  โดยใช้ 1 กำมือ (สด 40-50 กรัม หรือ แห้ง10-15 กรัม) หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มน้ำรับประทานวันละ 3 ครั้ง  ก่อนอาหารครั้งละ 1ถ้วยชา(75 มล.)
  • สรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนจีนคือ รสอมหวานเย็น มีฤทธิ์ห้ามเลือด ทำให้เลือดเย็น ใช้รักษาอาการเลือดออกจากภาวะเลือดร้อน เช่น เลือดกำเดา   ไอ อาเจียน ปัสสาวะเป็นเลือด และมีฤทธิ์ระบายความร้อน และขับปัสสาวะ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการบวมน้ำ ปัสสาวะร้อนมีสีเข้ม  ใช้ 9-30 กรัม             ต้มเอาน้ำดื่ม

 

 

ส.ค. 082014
 

มะลิ สมุนไพรไทย

ใกล้ถึงวันที่ 12 สิงหาคมเข้าไปทุกที ยังไงทางเว็บไทยสมุนไพร.net ขออวยพรให้คุณแม่ทุกท่านมีสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงนะครับ และขอเป็นตัวแทนสำหรับลูกๆทุกคนในการกล่าวคำขอบคุณ สำหรับพระคุณมากมายที่มีให้ลูก พูดถึงวันแม่ แน่นอนต้องนึกถึงดอกมะลิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวันนี้  ซึ่งหลายท่านนำมามอบให้แม่เพื่อเป็นการแสดงถึงการสำนึกในพระคุณ แต่รู้หรือไม่ มะลินั้นก็จัดว่าเป็น สมุนไพรไทย ชนิดหนึ่งเหมือนกัน ลองมารู้จักดอกมะลิในอีกมุมกันดูครับ

 

มารู้จักมะลิกันเถอะ

  • ชื่อวิทยาศาสตร์ Jasminum sambac Ait วงศ์  Oleaceae
  • ชื่ออังกฤษ Arabian jasmine
  • ชื่อท้องถิ่น  ข้าวแตก (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) เตียงมุน (ละว้า-เชียงใหม่)มะลิป้อม (เหนือ) มะลิหลวง (แม่ฮ่องสอน)

ต้นกำเนิด ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของดอกมะลิ
จริงๆหลายคนอาจคิดว่าดอกไม้สมุนไพรไทยเช่นมะลิเป็นดอกไม้ที่มีต้นกำเนิดในไทย แต่จริงแล้วกลับมีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดีย ส่วนใหญ่ใช้ในพิธีทางศาสนา ซึ่งคล้ายๆกับเมืองไทยที่นำมาร้อยบูชาพระ ซึ่งการนำพันธ์ดอกมะลิเข้ามาในไทยเมื่อไหร่ผมเองก็ไม่มีข้อมูล  สำหรับลักษณะมะลินั้น   มะลิไม้พุ่มขนาดสูงไม่เกิน 2 เมตรแตกกิ่งสาขามาก กิ่งอ่อนมีข้นสั้น ใบ เดี่ยวออก ตรงข้ามกัน ขอบใบเรียบ ดอก เดี่ยวหรือออกเป็นช่อละ 2-3 ดอก กลีบเป็นหลอดสีขาว กลีบดอกสีขาวมีกลิ่นหอม    เรื่องของดอกขอบอกนิดนึงจริงแล้วมะลิมีสายพันธ์เกือบ 200 สายพันธ์ ซึ่งบางสายพันธ์เป็นดอกสีเหลืองก็มีนะครับ**  แต่หายากและไม่นิยมเท่าดอกสีขาว

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยของมะลิ

  • สุวคนธบำบัด หรือการบำบัดด้วยกลิ่นหอม  น้ำมันหอมระเหยจากดอกมะลิเรียกว่า jasmine oil ซึ่งมีกลิ่นหอมหวาน ให้ความรู้สึกอบอุ่น มีผลต่ออารมณ์ ลดอาการซึมเศร้า ผ่อนคลายความตึงเครียดและความกลัว บรรเทาอาการปวดศีรษะ ใช้ทำหัวน้ำหอมและแต่งกลิ่นในเครื่องสำอางหลายชนิด   ซึ่งการ  jasmin oil จากดอกมะลิ ในอดีตใช้วิธีอองเฟลอราจ (enfkeurage) เป็นการสกัดโดยการใช้ไขสัตว์ดูดซับกลิ่นไว้ แล้วนำไปละลายในแอลกอฮอล์ ซึ่งมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก จึงเปลี่ยนมาเป็นวิธีสกัดด้วยตัวละลายเฮกเซน หรือปิโตเลียมอีเทอร์ โดยนำดอกไม้มาแช่ในตัวทำละลาย จากนั้นกรองกากดอกไม้ออก แล้วนำสารสกัดไประเหยตัวทำละลายออก สารหอมที่ได้เรียกว่า concrete เวลาใช้ นำมาละลายในแอลกอฮอร์เรียก absolute ใช้ทาภายนอกเท่านั้น ปัจจุบันสามารถสังเคราะห์ได้ราคาที่ถูกกว่าและมีประสิทธิภาพเท่าเทียมกัน
  • ดอกสด  ใช้ร้อยมาลัยและอบขนมให้มีกลิ่นหอม ดอกเริ่มบานใช้ลอยน้ำให้มีกลิ่นหอม เพื่อใช้ดื่มและทำขนม เช่น ลอดช่องน้ำกะทิ ซ่าหริ่ม ทับทิมกรอบ
  • ดอกแก่  เข้ายาหอม แก้หืด บำรุงหัวใจ
  • ใบ  แก้ไข้ ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย พอกแก้ฟกชำ แผลเรื้อรัง โรคผิวหนัง บำรุงสายตา ช่วยขับถ่าย
  • ราก  แก้ร้อนใน เสียดท้อง รักษาหลอดลมอักเสบ ขับประจำเดือน แก้ปวดเคล็ดขัดยอก

ข้อมูลเพิ่มเติมอื่นและข้อควรระวัง   น้ำมันหอมระเหย จากดอกมี benzyl alcohol, benzylacetate, D-linalool, jasmine, anthranilacid methyester, indol, P-cresol, geraniol, methyljasmonat   ใน ใบ มี jasminin, sambacin    ซึ่งน้ำมันหอมระเหยจากดอกมะลิให้ใช้ภายนอกเท่านั้น ห้ามรับประทานและห้ามใช้กับสตรีมีครรภ์

บทความนี้ re-write ใหม่อีกครั้งจากบทความเดิมในปี 2555  และขอบคุณข้อมูลจาก คุณ dogstar ใน blog OKnation  และข้อมูลทางสรรพคุณบางส่วนนำมาจาก cyclopaedia.net

ก.ค. 012014
 

หลังจากที่ไม่ได้ update เนื้อหาใน web มานานพอควร ได้ฤกษ์งามยามดีขออนุญาตนำบทความดีๆเกี่ยวกับสมุนไพรไทยมาฝากเช่นเคยครับ ซึ่งบทความนี้เผอิญไปอ่านเจอใน pantip  โดยคุณ Dear Nostalgia เป็นผู้รวบรวมมาเห็น่าสนใจดีเลยนำมาฝากทุกท่าน (โดยขออนุญาตเรียบเรียงใหม่และตัดทอน รวมถึงเพิ่มเติมข้อมูลบางส่วนให้ง่ายต่อการอ่านนะครับ

พูดถึงสะระแหน่หลายคนคงคิดว่าเป็นพืชผักสมุนไพรไทยแท้แต่ดังเดิม ความจริงอาจไม่เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว จากคำบอกเล่า ศจ.อินทรี จันทรสถิต ผ่านทาง ด็อกเตอร์ ณรงค์ โฉมเฉลา บอกว่า จริงๆแล้วสะระแหน่ถูกนำเข้ามาในไทยในช่วง ร.3 โดยชาวอิตาเลียนชื่อนายสะระนี ซึ่งก็กลายมาเป็นชื่อของ สะระแหน่นั่นเอง

ข้อมูลจำเพาะของสะระแหน่

  • ชื่อ  สะระแหน่  (Kitchen Mint )
  • ชื่อทางวิทยาศาสตร์  Mentha aruensis Linn   วงศ์   Labiatae  สกุล  Mint
  • ชื่อในแต่ละท้องถิ่น สะระแหน่สวน (ภาคกลาง) ,หอมด่วน (ภาคเหนือและอิสาน) ,สะแน่(ภาคใต้)

ลักษณะของสะระแหน่

สะระแหน่สะระแหน่เป็นพืชล้มลุกลำต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมเลื้อยไปบนดินหรือใต้ดินขยายกิ่งก้านสาขาออกไปโดยใช้ไหลหรือลำต้นใต้ดิน ใบรูปกลม ขอบใบหยัก สีเขียวเข้ม ไม่มีขน (ต่างจากพวก mint ของฝรั่งที่มีขนยาวกว่า)ดอกเกิดบนช่อดอก กลีบดอกสีขาว สะระแหน่เป็นพืชที่แพร่หลายในเขตอบอุ่น เป็นพืชที่มีน้ำมันหอมระเหย อันประกอบด้วยสารเมนธอล (Menthol) อยู่สูง จึงทำให้มีรสเย็นสดชื่อนั่นเอง

สะระแหน่ในฐานะสมุนไพรไทย

แพทย์แผนไทย นำเอาสะระแหน่มาปรุงเป็นยารักษาโรคได้หลายขนาน โดยระบุสรรพคุณว่า กลิ่นฉุนหอมร้อน สรรพคุณคือ แก้ปวดท้อง แก้จุกเสียด ขับผายลม แก้แน่น แก้ไอ ขับเสมหะ ขยี้ทาขมับ แก้ปวดศีรษะ ดมแก้ลม ทาแก้ฟกบวม  นอกจากนี้ยังใช้เป็นกระสายแทรกแก้โรคเด็ก เช่น ทรางชัก และช่วยให้ผายลมได้ดี ลดอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อ โดยถ้าจะสรุปตามการประยุกต์ใช้สามารถนำไปใช้ได้ง่ายๆ ด้วยสูตรตามตำราสมุนไพรไทยดังนี้

  •   รักษาอาการปวดศรีษะ ปวดฟัน เจ็บคอ เจ็บปาก เจ็บลิ้น โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย  วันละ  2 ครั้ง
  •  รักษาอาการบิดท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด โดยนำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำ
  •  แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยตำใบสะระแหน่ให้ละเอียด พอกบริเวณที่โดนกัด
  •  ช่วยห้ามเลือดกำเดาได้ โดยใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่ หยอดที่รูจมูก
  •  รักษาอาการปวดหู โดยนำน้ำคั้นจากใบสะระแหน่หยอดหู จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี
  •  รักษาอาการหน้ามือตาลาย โดยรับประทานน้ำต้มใบสะระแหน่และขิงสด

ประโยชน์ด้านอื่นๆนอกจากด้านสมุนไพรของสะแหน่

สะระแหน่เป็นสมุนไพรไทยที่มีกลิ่นหอม เพราะมีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก สามารถสกัดออกมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมยา เป็นต้น เนื่องจากสะระแหน่เป็นพืชในสกุลมินต์ จึงมีกลิ่นคล้ายเมนทอล อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของลูกอมประเภทรสเย็นทั้งหลาย แม้สะระแหน่ไทยจะมีส่วนประกอบของเมนทอลอยู่ในน้ำมันหอมระเหยน้อยกว่ามินต์ชนิดอื่นๆ แต่สะระแหน่ก็มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ดีเด่นไม่แพ้มินต์ชนิดใด อนาคตคงมีการพัฒนานำเอากลิ่นสะระแหน่ไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น

 

ธ.ค. 242013
 

ชาเป็นเครื่องดื่มที่คุ้นเคยกันทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยของเราเอง  นอกจากใบชาตรงๆแล้วนั้นมีการนำสมุนไพรหลายชนิด ทั้งสมุนไพรไทย และ สมุนไพรจีนมาชงในลักษณะของชา  ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือเป็นชาที่ไร้ซึ่งคาเฟอีน ส่วนคุณประโยชน์ก็หลากหลายตามชนิดและประเภทของชา วันนี้ทางเว็บไทยสมุนไพร.net จึงขอนำเสนอ 10 สุดยอดชาสมุนไพรมาท่านทุกท่านได้รู้จักกัน

ชาใบเตย1.ชาใบเตย  สำหรับสรรพคุณของชาใบเตย  ได้แก่บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ  ชาใบเตย ทำจากใบเตยหอม อบแห้ง บดเป็นผง มี สีเขียวใบเตย มีกลิ่นหอมชื่นใจใบเตยมีคุณสมบัติหลักๆ ขับปัสสาวะ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ชาใบเตยจึงเหมาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง คนธรรมดาทั่วไปก็ดื่มได้กลิ่นหอมของใบเตยชื่นใจ คลายเครียดได้ดี เป็น Aroma therapy อีกรูปแบบหนึ่ง

2.ชามะตูม สรรพคุณตามตำราคือ บางตำราบอกเพิ่มสมรถภาพทางเพศ  บำรุงสุขภาพ ทำจากผลมะตูมแก่ บดเป็นผง ให้น้ำชาสีแดงออกน้ำตาล มีกลิ่นหอมหวานชวนดื่ม ส่วนใหญ่จะแต่งรสด้วยน้ำตาล เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีขึ้น มะตูมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงธาตุ แก้ร้อนใน เป็นยาอายุวัฒนะชาขิง

3.ชาขิง จริงๆจะเรียกว่าน้ำขิงก็ไม่ผิดอะไรนัก แก้หวัด และช่วยย่อย  ทำจากเหง้าขิงแก่ ที่มีน้ำมันหอมระเหย  มีสรรพคุณทางร้อน ช่วยบรรเทาหวัด แก้คลื่นไส้อาเจียน เมารถเมาเรือ ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืด

4.ชาใบฝรั่ง คุณสมบัติหลักคือดับกลิ่น ฆ่าเชื้อ ทำจากใบฝรั่งไทยอบให้แห้ง บดเป็นผง มีกลิ่นหอมชวนดื่ม มีคุณสมบัติดับกลิ่นปาก ฆ่าเชื้อในปากและคอ เหมาะที่จะรับประทานหลังอาหาร สามารถที่จะใช้ชาใบฝรั่งระงับอาการท้องเสีย (ในรายที่ไม่มีไข้) แต่ต้องชงอย่างเข้มข้นกว่าปกติ

5.ชาหญ้าหนวดแมว สรพพคุณหลักคือขับปัสสาวะ  ตอนนี้คนรู้จักพืชชนิดนี้มากขึ้น  สำหรับชานี้ทำจากหญ้าหนวดแมวอบแห้งบด มีรสคล้าย ๆ ใบชา มีคุณสมบัติขับปัสสาวะ ขับนิ่วก้อนเล็ก ๆ มีคุณสมบัติขับกรดยูริค เหมาะกับคนที่เป็นต่อมลูกหมากโต คนที่เป็นนิ่วก้อนเล็ก ๆ ชวยลดน้ำตาลในเลือด เหมาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน มีโปรแตสเสียมสูง ระวังการใช้กับคนที่เป็นโรคหัวใจ

6.ชาตะไคร้ สามารถช่วยขับลม ช่วยย่อย  ทำจากต้นและใบตะไคร้อบให้แห้งแล้วบด ตะไคร้จะมีกลิ่นหอม ช่วยย่อยชาตะไคร้อาหาร แก้ลมวิงเวียน แก้ปวดเกร็งในท้อง ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะและมีรายงานการทดลองพบว่า ตะไคร้นั้นมีคุณสมบัติต้านมะเร็งได้อีกด้วย

7.ชาชุมเห็ดเทศ มีคุณสมบัติเป็นยาระบายท้อง ได้จากใบชุมเห็ดเทศคั่วให้แห้ง  แล้วบดเป็นผง ให้น้ำชาเป็นสีน้ำตาลมีกลิ่นหอมของใบไม้คั่ว มีสรรพคุณเป็นยาระบาย แต่หากดื่มเป็นประจำร่างกายก็อาจดื้อยาได้ ควรหาวิธีอืนในการสร้างนิสัยการถ่ายให้เป็นประจำโดยวิธีอื่นด้วย

ชาดดอกคำฝอย8.ชาดอกคำฝอย ลดไขมันในเลือด  สามรถหาซื้อได้ทั่วไป โดยทำจากดอกคำฝอย ลักษณะสีของชา มีสีแดงชวนดื่ม กลิ่นหอมชื่นใจ มีคุณสมบัติลดไขมันในเส้นเลือด ขับเหงื่อ เป็นยาระบายอ่อน ๆ บำรุงเลือดสตรี ขับระดู ระงับอาการปวดในสตรีที่รอบเดือนไม่ปกติ

9.ชารางจืด สามรถกำจัดพิษ และล้างสารพิษ  ทำจากใบรางจืดอบแห้งมีกลิ่นใบไม้แห้ง หอมอ่อนๆ เป็นธรรมชาติ ให้น้ำชาสีน้ำตาลออกเขียว มีสรรพคุณกำจัดพิษ แก้เมาค้าง บรรเทาอาการผื่นแพ้ และลดความร้อนในร่างกาย เหมาะกับเมืองไทยในขณะนี้ ที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ชารางจืดไม่มีพิษดื่มเป็นประจำได้ทุกวัน

10.ชากระเจี๊ยบ สามารถช่วยขับปัสสาวะไขมันในเลือด ได้มาจากดอกของกระเจี๊ยบแดง มีคุณสมบัติในการลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิตสูง แก้กระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอชื่นใจ ชากระเจี๊ยบมีสีแดง รสเปรี้ยวมักเติมน้ำตาลเพื่อแต่งรส

ขอบคุณข้อมุลจาก เว็บไซต์นิสิตมหาลัยนเรศวร

ธ.ค. 032013
 

วันนี้ผมเรื่องราวของมะพร้าวมาฝาก  ผมเชื่อว่าทุกคนคงรู้จักมะพร้าวแน่ๆ เพราะขนมไทยเกือบทุกชนิด จะมีการนำพืชชนิดนี้เป็นส่วนประกอบ ไม่ใส่ลงไปตรงๆ เช่นขูดเป็นฝอย ก็ใส่ลงไปทางอ้อมผ่านทางน้ำกระทิ  แต่ใครจะรู้ว่ามะพร้าว ก็จัดเป็นสมุนไพรไทย ที่มีคุณค่าเช่นกันเดียว มารู้จักมะพร้าวกันนะครับ

ต้นมะพร้าว

  • ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของมะพร้าว  : Cocos nucifera L. var. nucifera
  • ชื่อในภาษาอังกฤษ : Coconut  (ส่วนน้ำกระทิ เรียก coconut milk นะครับ)
  • ชื่อวงศ์ : Palmae (หรือง่ายๆคือเป็นพืชตระกูลปาล์มนั่นเอง)
  • ชื่อตามภูมิภาคต่างๆของไทย  : เนื่องจากมะพร้าวขึ้นอยู่ทุกภูมิภาค จึงมีชื่อเรียกต่างๆ กัน เช่น ดุง (จันทบุรี) เฮ็ดดุง (เพชรบูรณ์) โพล (กาญจนบุรี) คอส่า (แม่ฮ่องสอน) พร้าว (นครศรีธรรมราช) หมากอุ๋น

 

ลักษณะของต้นมะพร้าว                                                                                                                                          

  • ลำต้น  :   ไม้ยืนต้น สูง 20-30 เมตร(สูงที่สุดในพืชตระกูลปาล์ม) ลำต้นกลม ตั้งตรง ไม่แตกกิ่งก้าน เปลือกต้นแข็ง สีเทา ขรุขระ มีรอยแผลใบ
  • ใบ       :    เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงเวียน รูปพัดจีบ กว้าง 3.5- ซม. ยาว 80-120 ซม. โคนใบและปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบสีเขียวแก่เป็นมัน โคนก้านใบใหญ่แผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น
  • ดอก   :  ออกเป็นช่อแขนงตามซอกใบ ดอกเล็ก กลีบดอกที่ลดรูปมี 4-6 อัน ในช่อหนึ่งมีทั้งดอกเพศผู้และเพศเมีย ดอกเพศผู้อยู่ปลายช่อ ดอกเพศเมียอยู่บริเวณโคนช่อดอก ไม่มีก้านดอก ผล รูปทรงกลมหรือรี ผิวเรียบ
  • ผล     : ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่มีสีน้ำตาล เปลือกชั้นกลางเป็นเส้นใยนุ่ม ชั้นในแข็งเป็นกะลา ชั้นต่อไปเป็นเนื้อผลสีขาวนุ่ม ข้างในมีน้ำใส

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย

  • เปลือกผล – รสฝาดขม สุขุม (ตามตำราโบราณเขาเรียกแบบนี้จริงๆครับ คงประมาณฝาดลึกๆ) ใช้ห้ามเลือด แก้ปวด เลือดกำเดาออก โรคกระเพาะ และแก้อาเจียน
  • กะลา  – แก้ปวดเอ็น ปวดกระดูก
  • ถ่านจากกะลา – รับประทานแก้ท้องเสีย และดูดสารพิษต่างๆ (ปัจจุบันมีถ่านแบบใช้ทานดูสารพิษ แก้ท้องเสียจ่ายให้ผู้ป่วยใน รพ. แล้วนะครับ ข้อนี้อาจไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้)
  • น้ำมันที่ได้จากการเผากะลา – ใช้ทา บาดแผล และโรคผิวหนัง แก้กลาก อุดฟัน แก้ปวดฟัน
  • เนื้อมะพร้าว – รสชุ่ม สุขุม ไม่มีพิษ รับประทานบำรุงกำลัง ขับพยาธิ
  • น้ำมันจากเนื้อมะพร้าว – ใช้ทาแก้กลาก และบาดแผลที่เกิดจากความเย็นจัด หรือถูกความร้อน และใช้ผสมทาแก้โรคผิวหนังต่างๆ นอกจากที่ยังใช้เป็นอาหาร ทาแก้ผิวหนัง แห้ง แตกเป็นขุย และชนิดที่บริสุทธิ์มากๆ ใช้เป็นตัวทำลายในยาฉีดได้
  • น้ำมะพร้าว – รสชุ่ม หวานสุขุม ไม่มีพิษ แก้กระหาย ทำให้จิตใจชุ่มชื่น แก้พิษ อาเจียนเป็นเลือด ท้องเสีย บวมน้ำ ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ในอดีตยามจำเป็น  น้ำมะพร้าวอ่อนอายุประมาณ 7 เดือน เคยใช้ฉีดเข้าเส้นเลือดแก้ภาวะการเสียน้ำได้ (ไม่แนะนำนะครับ ปัจจุบันนี้ให้รักษากับแพทย์แผนปัจจุบันดีกว่า)
  • ราก – รสฝาด หวาน ใช้ขับปัสสาวะ และแก้ท้องเสีย ต้มน้ำอมแก้ปากเจ็บ
  • เปลือกต้น – เผาเป็นเถ้า ใช้ทาแก้หิด และสีฟันแก้ปวดฟัน
  • สารสีน้ำตาล – ไหลออกมาแข็งตัวที่ใต้ใบ ใช้ห้ามเลือดได้ดี

การประยุกต์ใช้อื่นๆ  

มะพร้าวเก็บในช่วงผลแก่ และนำมาเคี่ยวเป็นน้ำมัน ทาแก้ปวดเมื่อย และขัดตามเส้นเอ็น เจือกับยาที่มีรสฝาด รักษาบาดแผลได้ใช้น้ำมะพร้าว มาปรุงเป็นยารักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกมานาน วิธีใช้ทำได้โดย การนำเอาน้ำมันมะพร้าว 1 ส่วน ในภาชนะคนพร้อมๆ กับเติมน้ำปูนใส 1 ส่วน โดยเติมทีละส่วนพร้อมกับคนไปด้วย คนจนเข้ากันดี แล้วทาที่แผลบ่อยๆ

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมะพร้าวมะพร้าว,น้ำมะพร้าว

อ้างอิงจากงานเขียนของคุณพนิตตา  สวัสดี  สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ  วช. นะครับ(ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ ) ซึ่งได้กล่าวถึงประโยชน์ของน้ำมะพร้าวอีกหลายประการคือ

  1. การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้  โดยผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่าในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง หรือเอสโตร-เจน (Estrogen) สูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง
  2. การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวัน   ยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ  และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย
  3. น้ำมะพร้าวช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่   ภายนอกเพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่   ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน  ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้
  4. น้ำมะพร้าวสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี
  5. น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ  ขับของเสีย หรือสารพิษออกจากร่างกาย  (คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์ )  จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง  ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ

เป็นไงบ้างครับประโยชน์ของมะพร้าว ลองหามาทานกันดูนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก คุณพนิตตา  สวัสดี  ภารกิจข้อมูลวิจัยและการบริหารจัดการข้อมูล สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ  วช. และฐานข้อมูลสมุนไพรไทย 200 ชนิด เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพฯ

 

ก.ย. 152013
 

ใบหม่อน เมื่อได้ยินครั้งแรกคุณนึกถึงอะไร แน่นอนเมื่อสมัยก่อนคนอาจนึกถึงใบของพืชชนิดชนิดหนึ่ง ที่เอาไว้เลี้ยงดักแด้ของหนอนไหม แล้วสมัยนี้ล่ะเขานึกถึงอะไรกัน แน่นอนคันสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ ชาใบหม่อนชาสมุนไพรไทยนั่นเองนั่นเอง ก่อนที่จะพูดถึงชา เรามาพูดถึงต้นหม่อนกันก่อน

ชื่อสมุนไพร          หม่อน  หรือ mulberry (สังเกตฝรั่งเห็นอะไรเป็นลูกๆเป็นพวงๆ เขาเล่นเรียก berry หมด)
ชื่ออื่นๆ                 มอน (ตะวันออกเฉียงเหนือ)   ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียก ซิวเอียะ
ชื่อวิทยาศาสตร์    Morus alba Linn.  ชื่อวงศ์  Moraceae
ใบหม่อนลักษณะของต้นหม่อน

  • ไม้พุ่มขนาดกลาง เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านไม่มากนัก
  • ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ หรือรูปไข่กว้าง ขอบเรียบหรือหยักเว้าเป็นพู ขึ้นกับพันธุ์   ผิวใบสาก  ปลายเรียวแหลมยาว ฐานใบกลม หรือรูปหัวใจ หรือค่อนข้างตัด ใบอ่อนขอบจักเป็นพูสองข้างไม่เท่ากัน ขอบพูจักเป็นซี่ฟัน
  • ดอกช่อ รูปทรงกระบอกออกที่ซอกใบ และปลายยอด แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียอยู่ต่างช่อกัน วงกลีบรวมสีขาวหม่น หรือสีขาวแกมเขียว ช่อดอกเป็นหางกระรอก
  • ผลเป็นผลรวม รูปทรงกระบอก มีสีเขียว เมื่อสุกสีม่วงแดงเข้ม เกือบดำ ฉ่ำน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยว

หม่อน  นอกจากจะเป็นอาหารตามธรรมชาติ เพียงชนิดเดียวของหนอนไหมแล้ว เรายังสามารถ ยอดอ่อนรับประทานได้ มักใช้ใส่แกงแทนผงชูรสเพื่อเพิ่มรสชาติอาหาร (นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากหลีกเลี่ยงผงชูรส )หรือใช้เป็นอาหารต่างผัก พบทั่วไปในป่าดิบ  และยังพบอีกว่าหากนำใบหม่อนให้วัวและควายกินสามรถทำให้มีน้ำนมเพิ่มขึ้นได้

คุณค่าทางด้านสมุนไพรของใบหม่อน

หลักๆเลยในใบหม่อนนั้นจะมีสารตามธรรมชาติอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณค่าทางด้านสมุนไพรไทยที่ แตกต่างกัน คือ

1.  สารดีอ็อกซิโนจิริมายซิน (Deoxynojirimycin) ซึ่งสารนี้เองมีผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือด

2. กาบา  (GABA) หรือชื่อเต็มๆคือ gamma amino butyric acid ที่มีคุณสมบัติในการลดความดันโลหิต

3. สารฟายโตสเตอรอล  (Phytosterol) ที่มีประสิทธิภาพในการลดความระดับคอเลสเตอรอล

4. แร่ธาตุ และวิตามิน อื่นๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม โปแตสเซียม โซเดียม แมกนีเซียม เหล็ก  สังกะสี  วิตามินเอ วิตามินบี อีกทั้งยังมี กรดอะมิโนหลายชนิด

5. สารเควอซิติน (quercetin) และ เคมเฟอรอล (kaempferol) ซึ่งเป็นสารกลุ่ม  ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่มีคุณสมบัติ ป้องกันการดูดซึมของน้ำตาลในลำไส้เล็ก  ทำให้กระแสเลือดหมุนเวียนดี  และหลอดเลือดแข็งแรง  ยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็งเม็ดเลือด  มะเร็งเต้านม  และมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดอาการแพ้ต่าง ๆ และยืดอายุเม็ดเลือดขาว

6.สารโพลีฟีนอลโดยรวม  (polyphenols) ซึ่งมีฤทธิ์ด้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย (ลองอ่านดูเรื่องเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระที่ลิงค์นี้นะครับ สารต้านอนุมูลอิสระ

การชงชาใบหม่อนให้ได้คุณค่า

ชาใบหม่อน

จริงก็ไม่มีอะไรมากครับ  โดยที่ให้เราชงด้วยน้ำร้อน 80 – 90 องศาเซลเซียส (กะเอาได้ครับคือหลังจากเดือดแล้วทิ้งไว้สักครู่)   จะรักษาปริมาณสารออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด แล้วทิ้งไว้ นานอย่างน้อย 6 นาที ก่อนดื่ม จะได้คุณค่าทางโภชนาการและเภสัชวิทยา

เป็นไงบ้างครับ สำหรับเรื่องดีๆที่นำมาอ่านกันอย่าลื่มลองหาชาใบหม่อน ชาสมุนไพร แบบไทยๆมาทานกันดูบ้างนะครับ

ขอบคุณข้อมูลประกอบบทความจาก คุณวิโรจน์ แก้วเรือง ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์หม่อนไหม และ ฐานข้อมูลสมุนสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ก.ย. 082013
 

ตอนเด็กๆ ระหว่างทางเดินกลับบ้านจะมีวัชพืชชนิดหนึ่งที่ผมมักจะเล่นด้วยประจำ นั่นคือเวลาที่เราจับใบของมันใบของมันจะหุบอัตโนมัติ จากต้นเขียวๆจะกลายเป้นต้นแดงๆเหมือนมันเหี่ยวภายในพริบตา  แปลกดีเหมือนกัน พืชชนิดนี้มีชื่อว่าไมยราบนั่นเอง หลายคนมักมองว่าไมยราบเป็นเพียงวัชพืชที่ไม่มีค่าอะไร แต่จริงๆแล้วไมยราบจัดเป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่มีคุณค่ามากทีเดียว มารู้จักพืชสมุนไพรชนิดนี้กันเถอะครับ.

ไมยราบ

ชื่อโดยทั่วไป  ไมยราบ หรือ Sensitive plant (ชื่อบอกลักษณะได้อย่างไร ว่าเป็นพืชที่อ่อนไหว แค่มีอะไรมากระทบก็หุบใบได้เอง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mimosa pucida L.   วงศ์ : Fabaceae (Leguminosae-Mimosoideae)
ชื่อตามอื่นๆภูมิภาค : เนื่องจากไมยราบเป็นสมุนไพร ที่พบได้ทุกภูมิภาคของไทย จึงมีชื่อเรียกต่างๆกัน ได้แก่          กระทืบยอด  หนามหญ้าราบ (จันทนบุรี)  กะหงับ (ภาคใต้)  ก้านของ (นครศรีธรรมราช)  ระงับ (ภาคกลาง)  หงับพระพาย (ชุมพร)  หญ้าจิยอบ  หญ้าปันยอด (ภาคเหนือ)
ถิ่นกำเนิด : อเมริกาใต้ แต่ประเทศไทยนำเข้าโดยกรมทางหลวงเพื่อช่วยคลุมหน้าดิน นับว่ามีประโยชนืมากทีเดียว

ลักษณะต้นไมยราบ : ไมยราบเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ทอดเลื้อยตามพื้นดิน บางครั้งพบว่าสูงถึง 1 ม. มีขนหยาบปกคลุมลำต้น แกนก้านใบ ท้องใบ และช่อดอก  ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น แกนกลางรวมก้านใบยาว 2.5-5 ซม. ใบประกอบย่อยมี 1-2 ใบ ยาว 1.5-7 ซม. ใบย่อยมี 12-25 คู่ รูปขอบขนานหรือคล้ายๆ รูปเคียว ยาว 0.5-1 ซม.  ช่อดอกออกเดี่ยวหรือเป็นคู่ ตามซอกใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 2.5-4 ซม.  ดอกจำนวนมาก ไร้ก้าน กลีบเลี้ยงเล็กมากประมาณ 0.1 มม. กลีบดอกรูประฆังแคบ ยาวประมาณ 2 มม. กลีบดอกมนกลม ยาว 0.5-0.8 มม. เกสรเพศผู้มี 4 อัน รังไข่ยาวประมาณ 0.5 มม. เกลี้ยง  ฝักมีหลายฝักในแต่ละช่อดอก รูปขอบขนาน ตรง ยาว 1.5-1.8 ซม. มีขนแข็งตามขอบ

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย
ราก      แก้ไอ ขับเสมหะ แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง แก้ระบบการย่อยอาหารของเด็กไม่ดี บำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้ตาสว่าง ระงับประสาท แก้บิด ขับปัสสาวะ รักษาโรคปวดเวลา                 มีประจำเดือน ถ้าไข้ขนาดสูงมากๆ จะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน แก้ริดสีดวงทวารรสขมเล็กน้อย ฝาด ปวดข้อ กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง

ต้น        ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ขับระดูขาว ขับโลหิต
ใบ         แก้เริม งูสวัด โรคพุพอง ไฟลามป่า
ทั้งต้น  ขับปัสสาวะแก้ไตพิการ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ขับระดูขาว แก้ไข้ออกหัด แก้นอนไม่หลับ แก้กระเพาะอาหารอักเสบ สงบประสาท แก้ลำไส้อักเสบ แก้เด็กเป็น                               ตานขโมย แก้ผื่นคัน แก้ตาบวมเจ็บ แก้แผลฝี

จะเห็นว่าไมยราบมีสรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทยมากมายจริงๆ จะลองเอามาปลูกดูก็ไม่เสียหลายนะครับ

ขอบคุณที่มาของข้อมูล  : คุณนพพล เกตุประสาท  หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ. นครปฐม เผยแพร่ใน ใน web ของ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

กวาวเครือขาว เพิ่มหน้าอกได้จริงหรือ?

 บำรุงผิว, พืชสมุนไพร, เสริมความงาม  ปิดความเห็น บน กวาวเครือขาว เพิ่มหน้าอกได้จริงหรือ?
มิ.ย. 232013
 

หากพูดถึงกวาวเครือขาว สมุนไพรไทยชนิดนี้มักถูกพูดถึงบ่อยๆ ในเรืองของการ ช่วยเพิ่มหน้าอก หรือช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ตามแแผงสมุนไพรเสริมความงามต่างๆก็มีแทบทุกร้าน แต่วันนี้เราจะมารู้กันว่าประโยชน์มันดีอย่างที่ว่าจริงหรือ และโทษหรือผลข้างเคียงของมันล่ะมีอะไรบ้างเรามารู้กัน

กวาวเครือ,กวาวเครือขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ของกวาวเครือขาว   Pueraria mirifica Airy Shaw et Suvatab.

วงศ์ Leguminosae    หรือเป็นพืชในตระกูลถัวนั่นเอง

แหล่งที่พบ  ขึ้นในป่าเบญจพรรณ บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 250-800 เมตรในป่าสูงทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้ใหญ่ เป็นไม้ผลัดใบ ขนาดกลาง เถายาวประมาณ 5 เมตร ลำต้นเกลี้ยง เปลือกนอกของลำต้นมีสีน้ำตาลเข้มและค่อนข้างแข็ง มีหัวใต้ดินขนาดใหญ่ทำหน้าที่สะสมอาหาร

รูปร่างลักษณะ  ค่อนข้างกลม และคอดยาวเป็นตอนๆต่อเนื่องกัน กิ่งอ่อน ยอดอ่อน ก้านช่อดอก และกลีบเลี้ยงมีขนสั้นๆ ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ ก้านใบประกอบยาว 10-38 ซม. ใบย่อยใบกลางรูปไข่กว้าง 9-15 ซม. ยาว 15-30 ซม. ปลายมนถึงเรียวแหลม โคนสอบถึงมน กวาวเครือแดง คาดว่าคือ Butea superba Roxb. ในวงศ์ Leguminosae เช่นเดียวกัน

นอกจากกวาวเครือขาวยังมีกวาวเครือชนิดอื่นอีกหรือไม่ ?  ตอบว่ามีครับคือ

กวาวเครือแดง เมื่อถูกสะกิดที่เปลือกหัวจะมียางสีแดงคล้ายเลือดไหลออกมาเมื่อใช้ทำเป็นยา ชนิดแดงแรงกว่าชนิดขาว

กวาวเครือดำ ลำต้นและเถาเหมือนกวาวเครือแดง แต่ใบและหัวมีขนาดเล็กกว่า มียางสีดำ ใช้ทำเป็นยามีฤทธิ์แรงมาก ขนาดที่ใช้น้อยมาก

กวาวเครือมอ ทุกส่วน ต้น เถา ใบ หัว เหมือนกับชนิดดำ แต่เนื้อในหัวและยางสีมอๆค่อนข้างจะหายาก เช่นเดียวกับชนิดดำ มีหัวเล็กขนาดมันเทศ

เพราะอะไรกวาวเครือขาวจึงทำให้หน้าอกขยายตัวได้ ?

ในกราวเครือขาวจะมีสารออกฤทธิ์สำคัญที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิง (Phytoestrogens) ซึ่งได้แก่miroestrol และ deoxymiroestrol ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ลักษณะความเป็นผู้หญิงออกมา เช่น หน้าอกขยายใหญ่ขึ้นในระยะเวลา 2-3 เดือน ประมาณ 0.5 – 1 นิ้ว ซึ่งกระบวน การเหล่านี้จะทำให้หน้าอกขยายขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับหนึ่งเมื่อหน้าอกกระชับแล้วกระบวนการเหล่านี้ก็จะสิ้นสุดลง และสาร miroestrol ยังช่วยให้เพิ่มความเปล่งปลั่งสดใสให้ผิวพรรณได้อีกด้วย ซึ่งการออกฤทธิ์ดังกล่าวนี้หากใช้ในปริมาณน้อย จะช่วยออกฤทธิ์กระตุ้นในเชิงบวก แต่ถ้าใช้ในปริมาณมากจะออกฤทธิ์ในการยับยั้งเสียเอง โดยฤทธิ์ของกราวเครือขาวนั้นไม่ถาวร ถ้าหยุดรับประทานฤทธิ์ของกราวเครือก็จะค่อยๆหมดไปภายใน 2-3 สัปดาห์ (และการเก็บรักษาที่นานเกินไป 5-10 ปี จะทำให้ฤทธิ์ก็จะค่อยๆเสื่อมลงเช่นกัน)

 

สมุนไพรตัวนี้ต้องทานมากน้อยขนาดไหนจึงจะพอดี ?

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดขนาดในการรับประทานว่าห้ามเกินวันละ 100 mg. และที่สำคัญห้ามรับประทานร่วมกับการใช้ยาคุมกำเนิด

 

กวาวเครือขาวมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?

  1. ตำรายาแผนโบราณระบุไว้ว่า คนหนุ่มสาวห้ามรับประทาน (ในที่นี้คงจะหมายถึงผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี)
  2. ห้ามใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะตัวยาอาจจะไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศและระบบประจำเดือนได้ หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
  3. เด็กหญิงวัยก่อนมีประจำเดือน ไม่ควรรับประทาน
  4. สตรีที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตร ไม่ควรรับประทาน
  5. ผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง เนื้องอก หรือเป็นโรคต่อมไทรอยด์โต ไม่ควรรับประทาน
  6. ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทรวงอก มดลูกและรังไข่ เช่น เป็นซีสต์ พังผืด เนื้องอกเป็นก้อน มะเร็ง ก็ไม่ควรรับประทาน
  7. ผู้ที่ดื่มสุรา และมีประวัติเป็นโรคตับเป็นพาหนะไวรัสตับอักเสบบีที่มีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง ก็ไม่ควรรับประทาน
  8. ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเกินไปหรือติดต่อกันนานกว่า 2 ปี
  9. ห้ามรับประทานเกินขนาดที่แนะนำ หรือไม่เกินวันละ 100 mg.
  10. ห้ามรับประทานของหมักดองเปรี้ยว ดองเค็ม (ตำราแผนโบราณกล่าวไว้ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์)
  11. ควรอาบน้ำวันละ 3 ครั้ง (ตำราแผนโบราณกล่าวไว้ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์)
  12. ห้ามไม่ให้ตากอากาศเย็นเกินไป (ตำราแผนโบราณกล่าวไว้ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์)
  13. ฮอร์โมนเหล่านี้หากได้รับมากจนเกินไปอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
  14. อาจจะทำให้เยื่อหุ้มอัณฑะหนาตัวและอาจเป็นมะเร็งอัณฑะในเพศชายได้ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
  15. ในเพศหญิงอาจมีผลทำให้เต้านมแข็งเป็นก้อนหรืออาจทำให้เกิดเนื้องอกจนเป็นมะเร็งเต้านมได้ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
  16. กราวเครือนั้นมีพิษทำให้เมาเบื่อตัวเองการรับประทานมาเกินไปอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ ด้วยเหตุนี้ควรรับประทานสมุนไพรที่มีส่วนช่วยป้องกันหรือรักษาอาการท้องอืดร่วมด้วย เช่น พริกไทย เป็นต้น
  17. หากรับประทานกราวเครือขาวแล้วอาจจะทำให้ประจำเดือนมามากกว่าปกติ จนบางท่านรู้สึกกังวล แต่การที่ประจำเดือนมามากนี้ก็ถือเป็นผลดีต่อร่างกายในการขับของเสียทำให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น จึงไม่ต้องเป็นกังวล
  18. สามารถใช้ครีมบำรุงทรวงอก (Breast Cream) ร่วมกับกราวเครือขาวได้ในการเพิ่มขนาดทรวงอกได้
  19. กวาวเครือขาว ผลข้างเคียงและอาการอื่นๆที่พบได้ทั่วไป เช่น เจ็บคัดเต้านม ปวดศีรษะ คลื่นไส้ มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าผลข้างเคียงค่อนข้างมากเหมือนกันฉะนั้นจะใช้ก็ให้พิจารณาและใช้ความระมัดระวังนะครับจริงๆ  อีกอย่างแต่เดิมตำราสมุนไพรไทย กราวเครือขาวจะถูกนำมาใช้กับผู้สูงอายุมากกว่า หากจะใช้จริงๆ ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เวลาเลือกซื้อก็ควรเลือกแบบ น่าไว้ใจ (มี อ.ย. )ไม่ผสมนั่นผสมนี่เข้าไปจนเกินจำเป็น

 ข้อมูลอ้างอิง

http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20090413175228AAg94kg
http://www.greenerald.com/